by admin | บทความบ้านอุ่นรัก |
“การออกแบบการสอน” ของทีมครูกระตุ้นพัฒนาการเด็ก ที่ศูนย์กระตุ้นพัฒนาการเด็ก “บ้านอุ่นรัก” จะมาในรูปของกิจกรรมสนุก ๆ ที่ทีมครูวางแผนการสอนมาเป็นอย่างดี เพื่อช่วยสนับสนุนให้เด็กเข้าใจ และสนุกที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่
การช่วยให้เด็กที่ขาดสมาธิ เด็กที่เรียนรู้ได้ล่าช้า หรือเด็กที่มีทักษะทางภาษายังไม่สมวัย ครูผู้สอนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจธรรมชาติในการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน และนำองค์ความรู้เรื่องการออกแบบการสอน มาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรม
สำหรับทีมครูกระตุ้นพัฒนาการเด็กของ “บ้านอุ่นรัก” เรานำหลักการจากหลายแนวคิดทฤษฎีมาประยุกต์และปรับใช้เป็นวิธีการสอน โดยเน้นการออกแบบสื่อและแบบฝึกหัดที่เหมาะสมกับเด็กเป็นรายบุคคล และต้องเหมาะกับความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กทั้ง 3 ระดับพร้อม ๆ กันไปด้วย คือ (1) เด็กที่เรียนรู้เร็ว (2) เด็กที่เรียนรู้ระดับปานกลาง และ (3) เด็กที่เรียนรู้ช้า
ที่ “บ้านอุ่นรัก” เรามีวิธีการสอนเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กที่เรียนรู้ได้ล่าช้า และขาดสมาธิ ดังนี้
- เน้นการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสหลายมิติ หรือเรียนรู้ผ่านการลงมือทำกิจกรรม
- นำกิจกรรมเคลื่อนไหวมาช่วยเพิ่มความสนใจในการเรียนรู้
- ใช้หลักการย่อยงาน หรือ Task Analysis โดยนำเนื้อหาวิชาที่ยาก ซับซ้อน มาแปลงสภาพให้เด็กเข้าใจได้โดยง่าย
- ใช้ภาษาสั้น ๆ ตรงความหมาย เป็นรูปธรรมชัดเจน
- เพิ่มสื่อที่เป็นรูปธรรมให้เด็กเรียนรู้ผ่านการมองเห็น หรือ Visual Learning เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจเป็นรูปธรรม
- ในกิจกรรมที่ยากหรือซับซ้อน เราจะเริ่มด้วยกิจกรรมที่คาดว่าเด็กจะทำได้เอง 80 %
ทีมครูกระตุ้นพัฒนาการเด็กของศูนย์กระตุ้นพัฒนาการเด็ก “บ้านอุ่นรัก” ออกแบบการสอนอย่างไร ลองชมตัวอย่างกันสักหน่อยดีไหมคะ?
- ออกแบบอย่างเป็นรูปธรรม
- จัดเป็นกิจกรรมสนุก ๆ ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ผ่านการมองเห็น (Visual Learning) เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้ชัดเจนขึ้น
- ใช้สื่อหลายรูปแบบ เช่น ภาพ ตัวเลข ตัวอักษร สี สัญลักษณ์ บัตรคำ โมเดล การ์ดภาพ การวาดภาพประกอบ หรือเขียนคำ เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ สามารถจดจำหรือเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นเมื่อต้องเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นนามธรรม เรียนรู้เชิงแนวความคิด (Concept) การเรียนรู้เชิงมิติสัมพันธ์ หรือการจัดแยกประเภท



ทีมครูของ “บ้านอุ่นรัก” มั่นใจในการออกแบบการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล นอกจากนี้ เรายังมั่นใจด้วยว่าเรารับมือเด็กได้ทุกรูปแบบ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองที่ส่งลูกหลานมาเรียนรู้ กระตุ้นพัฒนาการ หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกับเรา สามารถคลายความวิตกกังวลได้ค่ะ เราสัญญาจะทำเต็มที่ ทำอย่างถูกหลักการ และทำอย่างสุดความสามารถทุกวันเพื่อลูกหลานของทุกท่านและลูกศิษย์ของเราค่ะ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองของลูกออทิสติก สมาธิสั้น พัฒนาการช้ากว่าวัย หากสนใจส่งลูกหลานมาเรียนที่ “บ้านอุ่นรัก” หรือจะสั่งซื้อสื่อการเรียนการสอนเพื่อไปสอนเด็ก ๆ ที่บ้าน หรือต้องการลงทะเบียนเรียนคอร์สออนไลน์ที่ “บ้านอุ่นรัก” จัดทำขึ้นและเหมาะกับพ่อแม่ผู้ปกครองและครู หรือต้องการให้ทีมครูของเราเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทีมครอบครัวบำบัด ท่านสามารถติดต่อทีมกระตุ้นพัฒนาการของ “บ้านอุ่นรักสวนสยาม” และ “บ้านอุ่นรักธนบุรี” ผ่านไลน์ได้ค่ะ
เครดิตภาพ: freepik.com | vectors | photographeeasia
by admin | บทความบ้านอุ่นรัก |
เหตุผลที่ลูกอาการไม่ดีขึ้นดังที่คิดเกิดจากข้อจำกัด 2 ประการ
- เราไม่เข้าใจว่ากลุ่มอาการออทิซึมเป็นกลุ่มอาการพัฒนาการล่าช้าแบบแผ่ขยาย ดังนั้น หากเรามุ่งลงน้ำหนักการกระตุ้นพัฒนาการไปเน้นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เรากังวลเป็นพิเศษ โดยไม่ได้แก้ไขพัฒนาการด้านอื่น ๆ ไปพร้อมกัน อาจเป็นการแก้ไขที่ไม่ตรงจุดหรือไม่ครอบคลุมมากพอที่จะทำให้เกิดความก้าวหน้าของพัฒนาการในภาพรวม ดังนั้น การแก้ไข คือ เราจำเป็นต้องแก้ไขพัฒนาการแบบบูรณาการพร้อมกันไปในทุกด้าน เพราะปัญหาพัฒนาการบางเรื่องจะส่งผลถึงพัฒนาการด้านอื่น ๆด้วย ทั้งในแง่ที่จะทำให้อาการแย่ลงหรือดึงให้พัฒนาการทุกด้านก้าวหน้าในทางดีขึ้น
- ประเด็นที่พบบ่อย คือ หากที่บ้านไม่ได้นำแนวทางที่ทีมบำบัดจัดการกระตุ้นพัฒนาการมาประยุกต์ให้เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน จึงไม่เกิดความซ้ำ หรือลูกไม่เกิดประสบการณ์ตรงมากพอ ในภาพรวมลูกมักจะไม่ดีขึ้น หรือพัฒนาการก้าวหน้าช้ากว่าที่ควรหรือลูกอาจจะดีขึ้นเฉพาะกับครูผู้ที่ได้คลุกคลีลงมือทำจริงจังกับลูกเท่านั้น ดังนั้น การแก้ไข คือ เราในฐานะพ่อแม่ผู้ปกครองจำเป็นต้องเรียนรู้แนวทางที่ทีมบำบัดจัดการกระตุ้นพัฒนาการและนำมาประยุกต์ให้เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน นำมาสร้างบรรยากาศในบ้านให้เกิดการกระตุ้นพัฒนาการอย่างสม่ำเสมอและมากพอที่ลูกจะเกิดประสบการณ์และการเรียนรู้ใหม่ ๆ
เครดิตภาพ: freepik.com | pch-vector
by admin | บทความบ้านอุ่นรัก |
ลูกออทิสติก สมาธิสั้น จำนวนหนึ่งมีระบบการรับรู้ทางสายตาไม่สมดุล ลูกจึงแสดงพฤติกรรมที่พอจะมองเห็นได้หลายรูปแบบ เช่น
- หมกมุ่นสนใจเป็นพิเศษกับการรับรู้ทางสายตา จึงชอบเพ่งมองภาพซ้ำ ๆ มองตัวอักษร สี สัญลักษณ์ ยี่ห้อสินค้า ธงชาติ ชอบมองสิ่งที่มีพื้นผิวมันวาว สิ่งที่เคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นพัดลม เข็มนาฬิกา หรือมองแนวกระเบื้องที่พื้นหรือฝาผนัง มองตามเสาไฟฟ้า มองป้ายโฆษณาขณะนั่งรถ
- แต่ลูกบางคนอาจมีการหลบเลี่ยงการมองบางประเภท เช่น ไวต่อแสง ไม่ชอบเมื่อมีคนถ่ายภาพแล้วมีแสงเฟรช ไม่ชอบไฟกระพริบ ไม่ชอบแสงจ้า
- หรือลูกบางคนมักจะมองอะไรแบบละสายตาโดยง่าย มองแบบไม่จดจ่อ มองไม่ต่อเนื่อง เหม่อมองแบบไม่โฟกัสสายตา สอดส่ายสายตาไปมา หรือตาลอยแบบมองทะลุผ่าน
จากปัญหาระบบการรับรู้ทางสายตาไม่สมดุล ทีมกระตุ้นพัฒนาการเด็กออทิสติกและสมาธิสั้นจึงมักจะจัดกิจกรรมให้ลูกศิษย์ได้เล่น Flashlight เล่นฉายไฟ เล่นไฟกระพริบ ที่เด็ก ๆ ได้มองตามแสงไฟ เพื่อ
- กระตุ้นการรับรู้ทางสายตา (Visual Perception)
- การมองตามสิ่งเคลื่อนไหว (Eye Tracking) และการกรอกตาตามวัตถุที่เคลื่อนที่
- การฝึกคงสายตาจดจ่ออย่างต่อเนื่อง เพิ่มการคงสมาธิ
- ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ เวลาที่ลูกหงุดหงิด
ตัวอย่างอุปกรณ์การเล่นที่นำมาประยุกต์ได้ เช่น ไฟฉาย ลูกบอลคริสตัล (ลูกตุ้มกระจก) ไฟเธค ไฟกระพริบ
ไฟฉาย
แบบที่ 1: ปิดไฟในห้อง ปิดม่านให้ห้องมืด แล้วเปิดไฟฉาย ใช้ไฟฉายส่องเคลื่อนที่ไปตามจุดต่าง ๆ ช้า ๆ ให้เด็กมองตาม การเคลื่อนที่ของแสงในรูปแบบอิสระ
แบบที่ 2: ฉายไฟแบบระนาบที่ต่อเนื่องเพื่อฝึกมองแบบคงสายตา เช่น ฉายไฟย้ายตำแหน่งต่อกันเป็นเส้นทางที่ต่อเนื่อง อาจนับในใจ 1 ถึง 20 จุด โดยเคลื่อนที่ไฟฉายช้า ๆ ต่อเนื่องเป็นแนว เช่น ทางยาว ส่องไฟจากบนลงล่างแบบแนวตั้ง ส่องแนวนอน แนวเฉียงต่อกัน ส่องเป็นแนวรูปสี่เหลี่ยม
แบบที่ 3: ส่องไฟและสอนคำศัพท์ เช่น ติดภาพคำศัพท์ที่ต้องการสอน จะติดแบบอิสระ หรือจะติดเป็นแนวระนาบ หรือสลับรูปแบบก็ได้ จากนั้นส่องไฟไปยังภาพคำศัพท์เพื่อกระตุ้นการพูด หรือหากทำจนลูกจำคำศัพท์ได้แล้ว อาจรอให้ลูกพูดก่อนจึงส่องภาพถัดไป
แบบที่ 4: ปิดไฟมืด แล้วฉายไฟฉายบนโต๊ะ หรือบนพื้นให้ลูกไล่ตบแสง ในรูปแบบส่องไฟอิสระ หรือส่องตามแนวระนาบ และอาจสลับบทบาทให้ลูกเป็นคนส่องแสงไฟ แล้วพ่อแม่ตามตบแสงเพื่อเล่นสนุกร่วมกัน
ลูกบอลคริสตัล (ลูกตุ้มกระจก)
วิธีเล่น: ปิดไฟให้มืด แล้วส่องไฟฉายแบบเคลื่อนที่ให้เกิดแสงสะท้อนในมุมต่าง ๆ เริ่มจากส่องแบบเคลื่อนที่แนวระนาบช้า ๆ ให้ลูกมองต่อเนื่อง จากนั้น ส่ายไฟฉายแบบเร็ว ๆ ย้ายจุดไปมา ให้เกิดแสงกระทบ ให้ลูกมองตาม
ไฟเธค ไฟกระพริบ (ขนาดเล็ก)
แบบที่ 1: ปิดไฟมืดแล้วเปิดแสงให้ลูกวิ่งเล่น หรือเปิดเพลงจังหวะเร้าใจสนุก ๆ แล้วชวนลูกเต้นรำ เคลื่อนไหวร่างกายด้วยกัน
แบบที่ 2: นำไฟกระพริบใส่ในเต็นท์ที่มีขนาดใหญ่พอควร ให้ลูกมุดไปนั่งเล่น
แบบที่ 3: ในสถานการณ์ที่ลูกหงุดหงิด ลองเปิดไฟนี้ให้ลูกได้ใช้เวลาสงบใจกับตนเอง ในลูกรายที่ไม่กลัวแสง หลังจากอยู่ในบรรยากาศของแสงไฟ ลูกจะเริ่มผ่อนคลายจากความหงุดหงิดภายใน เพราะความสนใจถูกเบี่ยงเบนมายังสิ่งเร้าภายนอกคือแสงไฟ
คำเตือน
- กรณีที่พบว่าลูกเลี่ยงหรือหวาดกลัว กลัวแสงไฟ โดยเฉพาะการใช้ไฟกระพริบหรือแสงจ้า ควรปรับระดับแสงให้สีนวล และเริ่มจากเวลาสั้น ๆ แล้วค่อย ๆ ขยายเวลาให้นานขึ้น
- ในทุกกิจกรรมเราจะไม่ปล่อยให้ลูกหมกมุ่นกับกิจกรรมใดนาน ๆ หรือซ้ำ ๆ ดังนั้นในแต่ละกิจกรรมควรใช้เวลาไม่เกิน 10-20 นาทีต่อรอบ เลือกทำในบางวันสลับกับการทำกิจกรรมอื่น หรือขึ้นอยู่กับปฎิกริยาตอบสนองของลูกว่าสนุก สนใจ และมีส่วนร่วมหรือไม่
เครดิตภาพ: https://www.freepik.com/rocketpixel
by admin | บทความบ้านอุ่นรัก |
คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองรู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่เด็ก 3 ขวบควรทำได้? และศูนย์กระตุ้นพัฒนาการเด็ก “บ้านอุ่นรัก” ขอบอกเพิ่มเติมว่าคุณครูในโรงเรียนชั้นอนุบาล 1 ก็คาดหวังว่าผู้ปกครองได้เตรียมเด็ก ๆ ให้ทำสิ่งเหล่านี้ได้ก่อนเข้าโรงเรียนแล้ว
เด็ก 3 ขวบควรดูแลและช่วยเหลือตัวเองได้ในเรื่องเหล่านี้
- ปัสสาวะในห้องน้ำได้เอง ไม่ปัสสาวะราด ไม่ใส่แพมเพิส
สำหรับบางบ้านที่ลูกยังใส่แพมเพสอยู่ที่บ้าน ต่อไปนี้ ต้องทำใจนิ่ง ๆ ยิ้มสู้ ตั้งรับภาระการซักกางเกงและการหมั่นถูพื้นเปียก เพื่อแลกกับการเติบโตสมวัยของลูก โดยทุก ๆ 30 นาที หมั่นพาลูกเข้าห้องน้ำ กระตุ้นให้ลูกกระตุกกางเกงลงเอง กระตุ้นให้ลูกเบ่งฉี่ ซึ่งอาจต้องร้องเพลงรอ รอ และรอนานสักหน่อย แต่ขอให้รออย่างใจเย็น ลองเปิดน้ำช่วยบิ้วท์อารมณ์ พร้อมพูดกับลูกว่า “ฉี่ ๆ ๆ” จากนั้นก็รออีกจนกว่าลูกจะสามารถเบ่งฉี่ออกมาสำเร็จ
- เลิกนมขวดในตอนกลางวัน (และเมื่อทำได้จึงเลิกนมขวดกลางคืนต่อไป)
บางบ้านอาจกังวลว่าลูกทานอาหารได้ไม่ดี จึงยอมให้ดื่มนมขวด โดยลืมไปว่าตราบใดที่ลูกเลือกที่จะอิ่มท้องด้วยนมได้ ลูกก็จะไม่พยายามทานอาหาร ซึ่งประเด็นลูกเลิกนมขวดได้แล้วหรือไม่นี้ บอกอะไรได้ค่อนข้างลึกล้ำ คือ บ้านที่ตัดใจ ตั้งใจทำจนทำสำเร็จ เป็นการยืนยันให้เรารู้ว่าครอบครัวนี้จะนำทางลูกได้แน่นอน เพราะเขารู้ว่าอะไรควรทำเพื่อการเติบโตก้าวต่อไปของลูก
- ทานอาหารโดยนั่งทานที่โต๊ะ ไม่เดินป้อน ตักทานเอง ทานได้ปริมาณ 10 คำขึ้นไป ทานอาหารได้หลากหลายชนิด
เรื่องการทานอาหารเป็นเรื่องที่ปรับง่ายที่สุดสำหรับเด็ก ๆ ในช่วงวัยก่อน 3 ขวบ ส่วนเด็กช่วงวัย 3-4 ขวบ อาจปรับยากขึ้นมาอีกนิด แต่ก็ค่อย ๆ ฝืนและฝึกได้
- แต่งตัวแบบง่าย ๆ ได้เอง ถอด-ใส่รองเท้าได้เอง
- นอนกับที่ในช่วงกลางวันโดยไม่ต้องนอนกอดหรืออุ้ม
- ให้ความร่วมมือเมื่อผู้ใหญ่ช่วยนำในกิจกรรมช่วยเหลือตนเอง เช่น การแปรงฟัน
- จับข้อมือลูกพาเดินแทนการอุ้ม
วันนี้ “บ้านอุ่นรัก” ขอกล่าวถึง “การช่วยเหลือตนเองที่เด็กวัย 3 ขวบควรทำได้” เพียงเท่านี้เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองพอที่จะเห็นภาพว่าท่านควรเตรียมลูกวัยก่อน 3 ขวบให้พร้อมในด้านใดก่อนวัยอนุบาล ซึ่งหลักการทำให้สำเร็จ คือ
- สร้างความเชื่อให้ตัวเราเองและลูกว่าถึงวัยที่ลูกจะต้องช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุดแล้ว นี่คือก้าวแรกที่ลูกจะต้องเริ่มเติบโตอย่างสมวัย
- จากนั้นจับนำ กระตุ้นให้ลูกร่วมลงมือทำทุกอย่างทุกขั้นตอน ค่อย ๆ ฝึกไปอย่างช้า ๆ แต่มีความหมาย
- ไม่เน้นว่าลูกต้องทำได้อย่างสมบูรณ์แบบในทันที ณ จุดเริ่มต้น ขอเพียงลูกได้ร่วมทำ เมื่อเวลาผ่านไป ดูท่าทีของลูก หากพบว่าลูกเริ่มจับทางได้และเริ่มทำได้เอง จึงค่อย ๆ ลดการช่วยในบางขั้นตอนของกิจกรรมจนถึงจุดที่ลูกทำสิ่งนั้น ๆ ได้เองอย่างสมบูรณ์แบบ
การเลี้ยงลูกตัวจิ๋วให้เติบโตอย่างสมาร์ทแจ่มแจ๋วจะทำให้ลูกไม่ต้องรอพึ่งพิงคนอื่น ลูกดูแลตัวเองได้สมวัยเหมือนกับที่เด็กคนอื่นทำได้ ยืนบนขาของตนเอง และพร้อมก้าวเดินสู่การเติบโตในขั้นถัด ๆ ไป
by admin | บทความบ้านอุ่นรัก |
อะไรคือหัวใจสำคัญของการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาและการพูด?
หัวใจสำคัญของการส่งเริมพัฒนาการทางภาษาและการพูด คือ
- การกระตุ้นให้ลูกพยายามพูดบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นลูกให้พูดบอกความต้องการเสียก่อนจึงจะให้การช่วยเหลือหรือให้สิ่งของที่ลูกต้องการ ทั้งนี้ หากลูกยังพูดเองไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองสามารถพูดบอกบทนำและกระตุ้นให้ลูกพูดตาม โดยต้องกระตุ้นถามทวนซ้ำสัก 3-5 รอบ เช่น น้อง จะไปไหน : น้อง-ไป-ฉี่ หรือ น้องจะทำอะไร: น้อง-ดื่มน้ำ เป็นต้น
- การเพิ่มการใช้ภาษาท่าทางเพื่อสื่อสารตามสถานการณ์นั้น ๆ หากลูกใช้ภาษาท่าทางไม่สมวัย พ่อแม่สามารถเริ่มจากจากการจับนำให้ลูกใช้ท่าทางประกอบการสื่อสารให้ชัดเจนมากขึ้น เช่น จับมือฝึกลูกชี้สิ่งที่ต้องการแทนพฤติกรรมการดึงพ่อแม่ไปโดยไม่สื่อสารอย่างชัดเจน หรือฝึกการผงกหัวรับเพื่อสื่อความหมายว่า “เอา” “ใช่” หรือส่ายหน้าแทนคำว่า “ไม่เอา” “ไม่ใช่” เป็นต้น
โดยสรุปแล้ว การส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาและการพูดให้ลูกต้องเน้นการรวมพลังของบุคคล 3 ฝ่ายเพื่อช่วยลูกให้ถูกวิธี ซึ่งประกอบด้วย (1) แพทย์ (แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กหรือจิตแพทย์เด็ก) (2) ผู้เชี่ยวชาญ (นักวจีบำบัดหรือครูฝึกพูด) และ (3) คนที่บ้าน (คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองและทุกคนที่บ้านที่เกี่ยวข้องกับลูก) นอกจากนี้ การใช้ “ภาพ” นับเป็นสื่อการสอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการฝึกลูก ส่วนคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองและคนที่บ้านควรรู้วิธีฝึกลูก ตลอดจนมีการกระตุ้นให้ลูกพยายามพูดบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน และควรเพิ่มการใช้ภาษาท่าทางเพื่อลูกสามารถใช้ท่าทางในการสื่อสารตามสถานการณ์ให้ได้ด้วย
ปัญหาความล่าช้าทางพัฒนาการทางภาษาและการพูดในลูกออทิสติก สมาธิสั้น พัฒนาการช้า ไม่ว่าจะตั้งต้นอยู่ที่ระดับใด ตั้งแต่ลูกไม่พูดเลยหรือลูกพูดได้แต่คุณภาพการพูดไม่สมวัย คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองและคนที่บ้านสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการคลี่คลายปัญหาได้ และศูนย์กระตุ้นพัฒนาการเด็ก “บ้านอุ่นรัก” จะช่วยสนับสนุนข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองและลูก ๆ ต่อไป
เครดิตภาพ: Hulki Okan Tabak | Unsplash