9 พฤติกรรมของลูกหลานที่ไม่ควรปล่อยผ่าน | บ้านอุ่นรัก

9 พฤติกรรมของลูกหลานที่ไม่ควรปล่อยผ่าน | บ้านอุ่นรัก

9 พฤติกรรมของลูกหลานที่ไม่ควรปล่อยผ่าน

  1. พฤติกรรมต่อต้าน ไม่ร่วมมือในกิจกรรมที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน       ไม่ร่วมกิจกรรมที่จำเป็นทางสังคม
  2. พฤติกรรมทำร้ายตนเองและคนรอบข้าง เช่น ตี หยิก กัด แย่งของ
  3. พฤติกรรมทำลายของ รวมถึงขว้างปาสิ่งของหรือเข้าไปวุ่นกับสิ่งของรอบตัวแบบไม่เหมาะสม
  4. อารมณ์กวัดแกว่ง รุนแรง ขัดใจไม่ได้ (ในเรื่องที่จำเป็น)
  5. การพึ่งพิงทางอารมณ์ ยึดติดคน ใกล้ชิดแบบไม่สมวัย
  6. หมกมุ่น ยึดติด สิ่งของจนขัดขวางการเรียนรู้ใหม่ ๆ หรือกระทบความเป็นอยู่ตามธรรมชาติ
  7. พฤติกรรมรบกวนทางสังคม เช่น เข้าหาคนมากเกินควร เข้าไปจัดการ จัดสภาพการแต่งกาย      ความเป็นอยู่การเล่นของคนอื่น วุ่นกับสิ่งของคนอื่น แย่งของ ไม่แบ่งปันสิ่งที่เป็นส่วนรวม        ใช้สิ่งสาธารณะแบบไม่เหมาะสม
  8. ไม่ยอมรับกฎกติกาหรือข้อตกลงตามวัย
  9. ไม่เข้าใจมารยาทพื้นฐานตามวัย

Photo Credit: Allef Vinicius | Unsplash

ปัจจัยที่จะส่งผลให้การปรับพฤติกรรมประสบความสำเร็จ | บ้านอุ่นรัก

ปัจจัยที่จะส่งผลให้การปรับพฤติกรรมประสบความสำเร็จ | บ้านอุ่นรัก

การปรับพฤติกรรมของลูกหลานเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องทำ ทั้งนี้เพราะพฤติกรรมบางอย่าง เรา “ปล่อยผ่านไม่ได้จริง ๆ” เช่น พฤติกรรมทำลายข้าวของ ทำร้ายตนเองและคนรอบข้าง หมกมุ่น ยึดติด หรือไม่เคารพกติกาหรือข้อตกลงที่เคยทำไว้ร่วมกัน เป็นต้น

การปรับพฤติกรรมของลูกหลานนั้น ขอเพียงเราได้รู้แนวทางและลงมือนำแนวทางที่รู้มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ เราก็จะประสบความสำเร็จในการลงมือทำ

บ้านอุ่นรักหวังว่าแนวทางการปรับพฤติกรรมที่เราให้นี้ จะเป็นประโยชน์ต่อคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง คุณครู และผู้ที่สนใจทุกท่าน ตลอดจนส่งผลดีต่อลูกหลานที่จะได้มีพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ดีขึ้นได้ในท้ายที่สุด

3 สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำ หลังลูกออทิสติกได้เข้าเรียนร่วมในโรงเรียนอนุบาล | บ้านอุ่นรัก

3 สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำ หลังลูกออทิสติกได้เข้าเรียนร่วมในโรงเรียนอนุบาล | บ้านอุ่นรัก

 3 สำหรับท่านที่ได้อ่านบทความเรื่อง “ทีมครอบครัว ทีมบำบัด และทีมโรงเรียน: 3 แรงแข็งขันที่ต้องช่วยกันจึงจะสามารถผลักดันเด็กออทิสติกให้ประสบความสำเร็จในการเรียนร่วมในโรงเรียน” จบไปแล้วนั้น ท่านคงได้เห็นภาพรวมกันแล้วว่าคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองมีงานอะไรที่ต้องทำบ้างในฐานะ “หัวเรือใหญ่” ที่จะนำทีม ประสานทีม และเชื่อมโยงทีมสำคัญทั้ง 3 ทีมเข้าด้วยกันจึงจะเตรียมลูกให้มีความพร้อมมากพอจนลูกได้เข้าเรียนร่วมในโรงเรียนอนุบาล

แน่นอนว่างานของพ่อแม่ผู้ปกครองในฐานะหัวเรือใหญ่ที่เริ่มต้นจากการเตรียมความพร้อมให้ลูก จนลูกพร้อมมากพอที่จะเข้าเรียนร่วมในโรงเรียน ประกอบกับการประสานงานกับทีมบำบัดและทีมโรงเรียนเพื่อสนับสนุนให้ลูกได้เรียนร่วมในโรงเรียน ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น

ในตอนนี้ ศูนย์กระตุ้นพัฒนาการ “บ้านอุ่นรัก” อยากชวนเพื่อน ๆ มาติดตามกันต่ออีกสักหน่อยว่า พ่อแม่ผู้ปกครองหรือหัวเรือใหญ่ของลูก ยังมีงานหรือบทบาทต่อเนื่องอะไรที่ต้องทำอีก เพื่อขับเคลื่อนให้การเรียนร่วมของลูกมีความต่อเนื่องจากชั้นอนุบาล …ไปสู่ชั้นเรียนอื่น ๆ ได้ตามศักยภาพที่ลูกออทิสติกมี 

3 สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำ หลังลูกออทิสติกได้เข้าเรียนร่วมในโรงเรียนอนุบาล

หนึ่ง: ทำความเข้าใจลูก

สอง: ทำความเข้าใจโรงเรียน

สาม: ประสาน รวบรวม และส่งต่อข้อมูลระหว่างทีมครอบครัว ทีมบำบัด และทีมโรงเรียน

หนึ่ง: ทำความเข้าใจลูก

เมื่อลูกออทิสติกเข้าสู่การเรียนร่วมที่โรงเรียนแล้ว คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองจำเป็นต้องเข้าใจว่าในช่วงแรก ๆ ลูก ๆ จำนวนมากยังมีปัญหาเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่โรงเรียนเป็นอย่างมาก ท่านจึงจำเป็นต้องเข้าใจลูก ให้เวลาและโอกาสลูกในการปรับตัว อีกทั้งให้การสนับสนุนลูก ๆ ตามความจำเป็นอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าลูกจะปรับตัวได้ดีมากขึ้น

สอง: ทำความเข้าใจทีมโรงเรียน

การที่ทีมโรงเรียนต้องรับมือกับลูก ๆ ออทิสติกในชั้นเรียนควบคู่ไปกับการดูแลนักเรียนคนอื่น ๆ ให้ราบรื่นได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ตามวิถีปกติที่เคยทำในการรับมือกับเด็กนักเรียนทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ ทีมโรงเรียนย่อมไม่สามารถใช้เวลาและบุคลากรทั้งหมดที่มีเพื่อมาดูแลลูกเพียงคนเดียวได้ เพราะยังต้องดูแลลูกและเพื่อน ๆ ของลูกในชั้นเรียนเดียวกันให้ดี ได้ตามสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าในชั้นเรียน คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องเข้าใจทีมโรงเรียน ตลอดจนให้เวลาแก่ทีมโรงเรียนในการสร้างความคุ้นเคยและช่วยเหลือลูกเรื่องการเรียนรู้ มีการแจ้งข้อมูลเรื่องแนวทางการรับมือเพื่อสนับสนุนการทำงานของทีมโรงเรียน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก่ทีมโรงเรียนในเรื่องต่าง ๆ อย่างเหมาะสมตามที่ทีมโรงเรียนได้แจ้งหรือขอมาเมื่อคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง และทีมโรงเรียนเข้าอกเข้าใจกัน สื่อสารระหว่างกันด้วยความเมตตา และเชื่อใจกันว่าต่างฝ่ายต่างมีความปรารถนาดีต่อลูก ลูกก็จะเป็นคนที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงมือทำร่วมกันในท้ายที่สุด

สาม: ประสาน รวบรวม และส่งต่อข้อมูลระหว่างทีมครอบครัว ทีมบำบัด และทีมโรงเรียน

การประสาน รวบรวม และส่งต่อข้อมูลระหว่างทีมสำคัญทั้ง 3 ทีมนี้ คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองจำเป็นต้องใช้ “สมุดสื่อสาร” มาเป็นตัวช่วยในการประสาน รับ และส่งข้อมูลระหว่างทีม

ตอนนี้ เรามาทบทวนกันสักนิดว่าสามทีมสำคัญประกอบด้วยใครกันบ้าง

หนึ่ง: ทีมครอบครัว ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง และสมาชิกทุกคนในบ้าน

สอง: ทีมบำบัด ประกอบด้วยแพทย์ นักวิชาชีพที่ช่วยบำบัดลูก และครูกระตุ้นพัฒนาการของลูก

สาม: ทีมโรงเรียน ซึ่งหมายรวมถึงผู้บริหารโรงเรียน ครูประจำชั้น และครูผู้ช่วยทุก ๆ คนที่ช่วยดูแลลูกในขณะที่ลูกอยู่ในโรงเรียน

หลังลูกเข้าเรียนร่วมในโรงเรียน คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง ยังคงต้องทำหน้าที่ในการประสาน รวบรวม และส่งต่อข้อมูลระหว่างทีมต่าง ๆ ซึ่งงานนี้ท่านต้องใช้ “สมุดสื่อสาร” เป็นตัวช่วยในการประสานข้อมูลกับทั้งสามทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีมโรงเรียน

บ้านอุ่นรักไม่แนะนำให้คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองใช้ความจำในการจำข้อมูลเพื่อส่งต่อ ทั้งนี้เพราะข้อมูลที่ได้จากความจำ อาจไม่ครบถ้วนและไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในบางกรณี

เราขอแนะนำให้คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง จดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่ได้จากการพบเห็น การสังเกต หรือได้จากการไปปรึกษากับทั้งสามทีม ลงไปใน “สมุดสื่อสาร” อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้น จะได้นำข้อมูลที่บันทึกไว้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการร่วมกันหาแนวทางเสริมและสร้างพัฒนาการให้กับลูก ๆ ที่อยู่ในวัยเรียนได้ต่อไป

ข้อมูลที่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง ควรจดบันทึกลงไปในสมุดสื่อสาร คือ

หนึ่ง: ตารางสรุปพัฒนาการของลูก พฤติกรรมของลูก และเป้าหมายของพัฒนาการและพฤติกรรมที่แพทย์และทีมบำบัดกำลังติดตามและลงมือทำ

สอง: บันทึกการตอบสนองโดยทั่วไปที่ลูกมี

สาม: หัวข้อการเรียนรู้หรือกิจกรรมที่โรงเรียน ที่ต้องมีการทบทวนการเรียนรู้แต่ละวันต่อที่บ้าน

สี่: รายการของการบ้านที่ต้องทำและได้ทำ

ห้า: รายการสิ่งของที่ครูมอบหมายให้ลูกนำมาจากบ้านเพื่อใช้ในการเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียน

หก: ปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ของลูก ตลอดจนแนวทางการแก้ไข ทั้งนี้ หากลูก ๆ มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ที่ต้องแก้ไข แต่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองยังไม่เคยรู้แนวทางการแก้ไขมาก่อน ท่านจะได้นำข้อมูลใหม่ ๆ จากการบันทึก ไปขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมบำบัด และส่งต่อข้อมูลที่เป็นประโยชน์นี้ให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ ของทีมครอบครัวและทีมโรงเรียนอย่างชัดเจนได้ต่อไป

การที่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองลงมือทำ 3 สิ่งที่ต้องทำหลังลูกเข้าเรียนร่วมที่โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น (1) ความเข้าใจที่มีต่อลูก (2) ความเข้าใจในทีมโรงเรียน ตลอดจน (3) ประสาน รวบรวม และส่งต่อข้อมูลระหว่างสามทีมโดยใช้ “สมุดสื่อสาร” ในการจดบันทึก รวบรวม และส่งต่อข้อมูลนั้น คือ ท่านได้ทำเรื่องที่ถูกต้องเป็นอย่างดีที่สุดแล้วในทุก ๆ วัน และเมื่อผสานความถูกต้องที่ทำอยู่ทุกวัน เข้ากับความเมตตาและความเชื่อใจว่าทีมสำคัญทั้ง 3 ทีมต่างรักและปรารถนาดีต่อลูก เราเชื่อแน่ว่าลูกออทิสติกตัวน้อย ๆ ที่อยู่ตรงหน้าของท่าน จะใช้ชีวิตในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี และสามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนต่าง ๆ ได้ต่อเนื่อง จนก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายได้อย่างแท้จริง

ลูกออทิสติกตัวน้อย ๆ ของคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง มักเริ่มต้นการก้าวเดินด้วยฝีเท้าก้าวเล็ก ๆ ที่เตาะแตะ เดินช้า และเดินตามหลังเพื่อน ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน แต่เพราะลูก ๆ มีคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง + มีทีมครอบครัว + มีทีมบำบัด + และมีทีมโรงเรียน คอยอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุน ในไม่ช้า ทุก ๆ ก้าวเดินของลูกจะมั่นคง และเปลี่ยนจากการเดิน สู่การวิ่งได้เต็มฝีเท้าอย่างสุดกำลัง

บ้านอุ่นรักได้เห็นการออกเดินและวิ่งเช่นที่ว่านี้ของลูก ๆ ออทิสติกมาแล้ว และเห็นรุ่นแล้วรุ่นเล่า เราจึงขอให้กำลังใจคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองทุก ๆ ท่าน เราขอเพียงท่านอย่าถอดใจเสียกลางคัน แต่ขอให้ท่านมั่นใจในสิ่งดี ๆ ที่ได้ทำ และเราซึ่งเป็นฝีพายของหัวเรือใหญ่ทุกท่านจะร่วมอยู่บนเส้นทางสายนี้เพื่อผลักดันและส่งลูกหลานออทิสติกของท่านให้ได้เข้าสู่การเรียนร่วมในโรงเรียนได้อย่างมีความหมายที่แท้จริงต่อไป

Photo Credit: Felipe Salgado from Unsplash

20 คำศัพท์ ที่ต้องรู้ เมื่อพูดถึง “ออทิสติก”

20 คำศัพท์ ที่ต้องรู้ เมื่อพูดถึง “ออทิสติก”

เรื่องการบำบัดรักษาอาการลูกออทิสติกนั้น   นอกจากการบำบัดรักษาจากผู้เชี่ยวชาญแบบสหวิชาชีพเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วคุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องเรียนรู้และ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการออทิสติกให้มากพอ  เมื่อมีความรู้เรา จะเกิดความมั่นใจ มีกำลังใจ ไม่กลัวในสิ่งที่เราจินตนาการเกินจริง และเกิดความเชื่อมั่นว่าขอเพียงรู้แนวทาง ปัญหาอุปสรรคทุกอย่างแก้ไขได้ แน่นอนค่ะ

พวกเราชาวบ้านอุ่นรัก  มีความตั้งใจว่านอกจากงานกระตุ้นพัฒนาการเด็กๆในศูนย์ฯแล้ว  พวกเราจะเป็นเพื่อนคู่คิด จัดหาให้ข้อมูลและข่าวสาร  ในรูปแบบต่างๆ  ที่มีประโยชน์ต่อการช่วยลูก ๆ ออทิสติกของพ่อแม่ผู้ปกครองทุก ๆ บ้านค่ะ

วันนี้พวกเราพบบทความที่น่าสนใจเรื่อง “20 คำศัพท์ที่ต้องรู้เมื่อพูดถึงออทิสติก” หรือ “20 Words to Know When Discussing Autism (Vocab)” ซึ่งโพสต์โดย We Rock the Spectrum Kid’s Gym ทีมงานบ้านอุ่นรักจึงแปลสรุปความมาแชร์ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้อ่านไปด้วยกัน ส่วนข้อมูลต้นฉบับ สามารถอ่านได้จากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะคะ

(หมายเหตุ: We Rock the Spectrum Kid’s Gym เป็นโรงยิมออกกำลังกายสำหรับเด็ก ตั้งอยู่ที่เมืองลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอมเริกา โรงยิมแห่งนี้ต้องการให้เด็ก ๆ ได้รับประโยชน์จากการใช้อุปกรณ์ประสาทสัมผัส จึงมีการออกแบบอุปกรณ์เหล่านี้มาโดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่มีปัญหาด้านการประมวลผลทางประสาทสัมผัส)

20 คำศัพท์ที่ต้องรู้เกี่ยวกับอาการของลูกออทิสติก

1 Echolalia

คือ อาการที่ลูกเปล่งเสียงซ้ำ ๆ พูดคำซ้ำ ๆ หรือพูดประโยคซ้ำ ๆ แต่การออกเสียง เอ่ยคำ หรือพูดวลีซ้ำ ๆ นั้น ลูกไม่ได้ใช้ในการสื่อความหมายอย่างมีประสิทธิภาพ หรือลูกไม่ได้ทำเพื่อแสดงออกในเรื่องต่าง ๆ ตามที่ลูกคิด ลูกแค่เปล่งเสียงตามที่เคยรู้หรือได้ยินมา หรือลูกเพียงพูดเลียนแบบ เช่น เมื่อเราตั้งคำถามให้ลูกตอบ ลูกก็จะพูดทวนคำถามที่ลูกได้ยิน แต่ลูกจะไม่ตอบคำถามนั้น ๆ เป็นต้น

2 Scripting

เป็นอาการที่ลูกออทิสติกมักพูดคำซ้ำ ๆ หรือพูดประโยคเดิม ๆ ลูกมีการออกเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ซ้ำไปซ้ำมา หรือลูกพูดตามถ้อยคำของคนอื่นที่ลูกได้เห็นหรือได้ยินมา ไม่ว่าจะเป็นการได้ยินมาจากการชมภาพยนต์ ได้ฟังมาจากคำพูดของคนอื่น หรือได้อ่านมาจากหนังสือเล่มโปรด ทั้งนี้ บางครั้งเราจะพบว่ามีการใช้คำว่า Scripting และ Echolalia ในความหมายที่คล้าย ๆ กันในการพูดถึงโรคออทิซึมค่ะ

3 Perseveration

คือ อาการหรือพฤติกรรมที่ลูกติดอยู่ หรือยังคงเพียรพยายามทำซ้ำ ๆ ต่อเนื่องอยู่ แม้สิ่งเร้าที่ทำให้ลูกเกิดอาการหรือแสดงพฤติกรรมนั้น ๆ ได้จบลงไปแล้วก็ตามที อาการที่ลูกติดอยู่กับบางเรื่องบางอย่างนี้ ส่งผลให้ลูกไม่สามารถปรับใจหรือยากที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง

4 Applied Behavioral Analysis Therapy

เรียกย่อ ๆ ว่า ABA เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อนำผลที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการบำบัดรักษาต่อไป ทฤษฎีนี้ใช้หลักของการเรียนรู้ หลักการใช้แรงจูงใจ อันจะส่งผลต่อการเกิดพฤติกรรม ทั้งนี้ นักบำบัดหลาย ๆ ท่านได้ใช้ทฤษฎี ABA นี้ในการบำบัดรักษาลูก ๆ ออทิสติก ในแง่การเพิ่มทักษะการสื่อสาร การเล่น การเข้าสังคม การเรียนรู้ด้านวิชาการ หรือแม้แต่การดูแลช่วยเหลือตนด้วยค่ะ 

5 504 Plan

หรือ แผน 504 เป็นแผนที่รับประกันว่านักเรียนผู้มีความบกพร่องหรือความพิการ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือจิตใจ จะต้องได้รับการอำนวยความสะดวกในการขอรับความช่วยเหลือเรื่องการศึกษาเล่าเรียนจนกว่าจะเรียนจบ ทั้งนี้ แผนนี้เป็นของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนในประเทศไทยก็มีกฏหมายสำคัญ ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันค่ะ

6 Individualized education program

เรียกย่อ ๆ ว่า IEP หรือแผนการศึกษารายบุคคล แผนการศึกษาแบบนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้เด็ก ๆ ที่มีความต้องการพิเศษได้เข้าสู่ระบบการศึกษาที่มีรูปแบบสอนเฉพาะแบบที่เหมาะสมเฉพาะตนกับเด็ก อีกทั้งเด็กต้องได้รับบริการที่เกี่ยวเนื่องในด้านต่าง ๆ อันจะส่งผลให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

7 Transition

หรือช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่เปลี่ยนผ่านจากสภาพแวดล้อมหรือกิจกรรมหนึ่งไปยังสภาพแวดล้อมหรือกิจกรรมอื่น สำหรับลูกออทิสติก ก่อนการเปลี่ยนผ่านระหว่างกิจกรรมต่าง ๆ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือคนที่เกี่ยวข้องควรบอกหรือเตือนให้ลูกรู้ล่วงหน้าก่อน เพื่อลดความสับสน หรือความวิตกกังวลให้ลูก ๆ ค่ะ

8 Meltdown

เป็นอาการของลูกออทิสติกที่แสดงออกทางอารมณ์ ไม่ว่าจะแสดงออกมาอย่างเกรี้ยวกราดหรือทำแบบเงียบ ๆ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นวิธีที่ลูกแสดงปฏิกริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ลูกรู้สึกว่าสับสนหรือมีตัวกระตุ้นที่ท่วมท้นมากมายจนเกินไปนั่นเอง

9 Stimulatory Behavior (Stimming)

หรือพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของลูก ไม่ว่าจะเป็นการหมุนสิ่งของ การเปล่งเสียงแบบเลียนแบบ การทำอากัปกริยาซ้ำไปซ้ำมา ทั้งนี้ การที่ลูกทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ เพราะลูกใช้มันในการลดหรือบรรเทาความเครียดจากการที่ลูกได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้ารอบตัวที่มากจนเกินไปนั่นเอง

10 Visual Schedule

หรือตารางภาพกิจวัตรที่ช่วยให้ลูกออทิสติกรู้ลำดับของกิจวัตรหรือเรื่องที่ลูกต้องทำตามลำดับล่วงหน้าก่อน ทั้งนี้ การที่ลูกได้รู้ลำดับของกิจวัตรที่จะเกิดตามลำดับจากการดูตารางภาพกิจวัตรจะเป็นตัวช่วยลดความสับสนและวิตกกังวลสำหรับลูกออทิสติกค่ะ

11 Elopement

หรือการแยกตัว ทั้งนี้ลูกออทิสติกมักแยกตัวไปโดยไม่บอกกล่าว ไม่ขออนุญาตก่อนที่จะไป และไม่บอกว่าจะไปไหน การแยกตัวในลักษณะนี้นับเป็นพฤติกรรมที่น่ากังวลและต้องหาทางป้องกันหรือแก้ไขค่ะ

12 Savant

หรือการเป็นผู้รู้ กล่าวคือ ลูกออทิสติกมีลักษณะการเป็นผู้รู้นี้ ลูกจะมีความรู้อย่างละเอียดลออในเรื่องที่ลูกสนใจค่ะ

13 Splinter skill

หรือการที่มีลูกมีทั้งทักษะที่ดีและด้อยกว่าระดับปกติผสมผสานกันไป กล่าวคือ ลูกออทิสติกจะมีทักษะบางอย่างที่ดีมากกว่าคนอื่น ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ลูกก็จะมีทักษะหรือความสามารถในเรื่องอื่น ๆ ที่ด้อยกว่าคนอื่น ๆ ด้วยค่ะ

14 Sensory Processing Disorder

หรือ SPD เป็นความผิดปกติของระบบประมวลผลการรับสัมผัสทางประสาทสัมผัส เมื่อสภาวะของระบบประสาทรับสัมผัส การประมวลผลการรับสัมผัสขาดประสิทธิภาพ ลูกออทิสติกจึงตอบสนองต่อการรับสัมผัสนั้น ๆ แบบผิดปกติก เช่น ลูกออทิสติกที่มีการประมวลผลทางประสาทสัมผัสไวกว่าปกติ จะรู้สึกไวเมื่อสัมผัสกับผิวของผ้าบางชนิดหรือลูกอาจรู้สึกไวต่อพื้นผิวของอาหารบางแบบที่ลูกสัมผัสเมื่อได้ทานเข้าไป เป็นต้น

15 Vestibular System

หรือระบบการทรงตัว ตามปกตินั้น ระบบประสาทสัมผัสที่สมดุล ทำให้เรามีการเคลื่อนไหวแบบต่าง ๆ ที่สอดประสานกันระหว่างอวัยวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวนั้น ๆ แต่สำหรับลูกออทิสติกแล้ว ลูกจะมีปัญหาเรื่องการทรงตัว การเคลื่อนไหวของลูกมักมีลักษณะไม่สมดุลและขาดการสอดประสานกันระหว่างอวัยวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ลูกจึงมีท่าเดินและจังหวะการเดินที่ผิดไปจากปกตินะคะ

16 Comorbidity

คือ ภาวะที่ลูกจะมีอาการของความเจ็บป่วยสองโรคคู่กันไป เช่น ลูกจะเป็นโรคลมชักและโรคย้ำคิดย้ำทำคู่กันไป เป็นต้น

17 Joint Attention

เป็นสภาวะที่เรามีความสนใจร่วมกันกับคนอื่น ๆ เรื่องความสนใจร่วมกันนี้เป็นทักษะทางสังคมที่พัฒนาตั้งแต่ลูกยังเล็กค่ะ ความสนใจร่วมกันนี้รวมความไปถึงการชี้ชวน แบ่งปันเรื่องที่สนใจ และการมองตามคนอื่น ๆ ด้วย เช่น ในขณะที่เด็ก ๆ เล่นด้วยกันนั้น เด็ก ๆ มักชอบพูดว่า “ดูฉันสิ” หรือชอบชี้ให้คนอื่นมองตามสิ่งที่เด็กเห็น แต่ลูกออทิสติกจะมีความสนใจร่วมกันกับคนอื่นในระดับที่ต่ำมากจนกระทั่งถึงไม่มีความสนใจร่วมกับคนอื่นเลยค่ะ

18 Prosody

หรือจังหวะของเสียงที่เปล่งออกมาเป็นภาษาพูด เวลาที่เราพูด เราจะมีระดับเสียงสูง-ต่ำตามการผันคำ มีการกำหนดระดับเสียง มีการเน้นเสียง มีการเปลี่ยนเสียงสูง-ต่ำ และมีท่วงทำนองของเสียงที่เราพูด แต่ลูกออทิสติกจะมีโทนเสียงที่ต่างจากปกติ กล่าวคือ ลูกอาจพูดเสียงเดียวราบเรียบแบบไม่มีเสียงสูงหรือเสียงต่ำเลย หรือในอีกกรณีคือ ลูกจะพูดเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนกำลังร้องเพลง เป็นต้นค่ะ

19 Discrete Trial

หรือการแยกย่อยส่วนงาน เป็นโครงสร้างของการสอนงานลูก ๆ ออทิสติกที่มีการย่อยงานออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้ลูกเข้าใจงานที่ละส่วนได้โดยง่าย งานแต่ละอย่างที่จะสอนให้ลูกทำ จะถูกแยกย่อยออกเป็นขั้นตอนจากต้นจนจบ การบำบัดแบบ ABA ก็ใช้การย่อยงานในการบำบัดรักษาด้วยเช่นกันค่ะ (สำหรับการย่อยงานนี้ บ้านอุ่นรักก็ใช้หลักการนี้ในการสอนลูก ๆ ออทิสติกเช่นกัน แต่เราใช้คำว่า Task Analysis ซึ่งก็มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า Discrete Trial นะคะ)

20 Cognitive Behavioral Therapy

หรือ CBT หรือการบำบัดด้วยการเปลี่ยนความคิดอันส่งผลให้พฤติกรรมเปลี่ยนตาม การบำบัดแบบนี้เป็นรูปแบบจิตบำบัดที่จะเปลี่ยนชุดความคิดในทางลบที่บุคคลมีต่อตนเองและต่อโลก กล่าวคือ เมื่อความคิดที่เรามีอยู่เปลี่ยนไป พฤติกรรมของเราที่จะแสดงออกก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย รูปแบบการบำบัดนี้ใช้เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์หรือบำบัดความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า ส่วนกรณีของลูกออทิสติกที่มีความวิตกกังวลสูงและมีภาวะซึมเศร้า พบว่า การบำบัดแบบนี้ช่วยลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และบรรเทาความรู้สึกต่าง ๆ ทางลบได้ด้วยการปรับเปลี่ยนความคิดและการรับรู้ที่ลูกมีต่อเรื่องต่าง ๆ ค่ะ

(ข้อมูลเพิ่มเติมที่ทีมงานหามา พบว่าแนวทางในการบําบัดแบบ CBT นี้ คือ ถ้าเราสามารถประเมิน (evaluate) ความคิดให้ถูกต้อง ตามความเป็นจริงหรืออยู่ในโลกของความเป็นจริงได้ (realistic) อาการเกี่ยวกับอารมณ์และพฤติกรรมของเราก็จะดีขึ้น ทั้งนี้ มีขั้นตอน คือ การทําให้เราเข้าใจก่อนว่าความคิดใดที่มีไม่สมเหตุสมผล ไม่สมเหตุสมผลอย่างไร  ให้เราประเมิณและแก้ไขความคิดให้ดีขึ้นต่อไป – ที่มาของข้อมูลเพิ่มเติม http://www.thaidepression.com/www/56/CBTdepression.pdf)

คำที่เกี่ยวข้องกับอาการออทิสติกยังมีอีกมากมายค่ะ ไว้เราจะทยอยลงในบทความอื่น ๆ ต่อไปนะคะ

ทีมงานบ้านอุ่นรัก ขอขอบพระคุณ

คุณจินตวีร์  สายแสงทอง

ผู้แปลและเรียบเรียงบทความนี้ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

4 วิธีการตรวจเช็คเบื้องต้น สำหรับการสังเกตและบ่งชี้อาการออทิสติกของลูกน้อย | บ้านอุ่นรัก

4 วิธีการตรวจเช็คเบื้องต้น สำหรับการสังเกตและบ่งชี้อาการออทิสติกของลูกน้อย | บ้านอุ่นรัก

หากเราทำความเข้าใจอย่างแท้จริง และมีการเลี้ยงดูลูกอย่างถูกต้อง อาการออทิสติก ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด

หากมีความเข้าใจในโรคและอาการของโรคนี้มากเพียงพอ ก็จะสามารถรับมือและหาวิธีการอยู่ร่วม รวมถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับบุคคลปกติทั่วไปได้ไม่ยาก ที่สำคัญคือ การค้นพบอาการตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเริ่มต้นการบำบัดอาการให้ทุเลาลง ซึ่งวันนี้ บ้านอุ่นรัก ขอนำเสนอ 4 วิธีการง่ายๆ ในการตรวจเช็คเบื้องต้น สำหรับการสังเกตอาการและข้อบ่งชี้อาการออทิสติกของลูกน้อย โดยหากพบมากกว่า 2 ด้าน  !!!!!  ควรรีบไปปรึกษาแพทย์นะคะ

1. ความไม่สมวัยด้านสังคมและปฏิสัมพันธ์แบบสองทาง

  • เลี่ยงการสบตา
  • ไม่สนใจสานต่อปฎิสัมพันธ์แบบสองทางกับบุคคล  ทั้งกับบุคคลใกล้ชิด และเด็กวัยเดียวกัน
  • มักจะแยกตัว ชอบเลี่ยงออกไปเล่นคนเดียวในแบบของตนเอง
  • ขาดการชี้ชวนออดอ้อนพยักพเยิด  ไม่สานต่อหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางอารมณ์กับบุคลใกล้ชิด
  • ไม่สนใจเลียนแบบท่าทาง  การกระทำ หรือการพูดจากบุคคลรอบตัว

2. ภาษา/การสื่อความหมาย : ลักษณะการพูดและการสื่อความหมายไม่สมวัย

  • เริ่มพูดเพื่อสื่อความต้องการ ได้ช้ากว่าวัย (พูดช้ากว่า 2 ขวบ)
  • สานต่อ การสนทนา ไม่ได้
  • การแสดงออกทางแววตา/สีหน้า/ท่าทาง สื่อความหมายได้จำกัด

3. พฤติกรรม

  • ติดรูปแบบในการดำรงชีวิต   ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
  • บางรายมีการเคลื่อนไหวอวัยวะซ้ำ  (กระตุ้นระบบการรับสัมผัส)
  • หมกมุ่นกับสิ่งของเฉพาะอย่างเป็นพิเศษ
  • เล่นเป็นรูปแบบซ้ำๆ หรือมีวิธีเล่นเฉพาะตัว  ขาดการเล่นแบบสำรวจทดลองหรือ ใช้จินตนาการ
  • สนใจและตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบตัวอย่างจำกัด
  • ระดับการเคลื่อนไหวไม่สมดุล  (ซนอยู่ไม่สุข/ เฉื่อย ไม่ชอบเคลื่อนไหว)

4. อารมณ์   

  • ดูเหมือนเปลี่ยนแปลงง่าย วิตกกังวลสูง อารมณ์กวัดแกว่ง หงุดหงิดรุนแรง เพราะการรับรู้ไว  ตื่นตัวถูกรบกวนจากประสาทสัมผัส กลัว/เลี่ยงหนีหรือเข้าหา หมกมุ่นกับสิ่งเร้าบางอย่างเป็นพิเศษ

สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครอง ที่ต้องการคำปรึกษา หรือพูดคุยกับพวกเรา สามารถโทรติดต่อหรือนัดหมายเข้ามาพบหรือพาลูกมาประเมิน เพื่อปรึกษาวางแนวการดูแล ได้ที่บ้านอุ่นรัก สาขาที่ท่านสะดวกค่ะ