“ข้อมูลที่ควรสังเกตุและจดบันทึก” ก่อนพาลูกไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาลูกพูดช้า | บ้านอุ่นรัก

“ข้อมูลที่ควรสังเกตุและจดบันทึก” ก่อนพาลูกไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหาลูกพูดช้า | บ้านอุ่นรัก

โดยทั่วไป ลูกในวัย 1 ขวบ มักเริ่มพูดออกเสียงเป็นคำ 1 พยางค์ ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ยิน แต่ลูกบางรายที่พูดช้า พ่อแม่ผู้ปกครองย่อมวิตกกังวล และในบางกรณีอาจจำเป็นต้องพาลูกไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเพื่อวินิจฉัยอาการ ให้คำปรึกษาเรื่องแนวทางกระตุ้นการพูด ตลอดจนให้การบำบัดรักษาที่ทันท่วงที

ในกรณี “ลูกพูดช้า” ศูนย์กระตุ้นพัฒนาการ “บ้านอุ่นรัก” ขอแนะนำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง “สังเกตุและจดบันทึกข้อมูล” ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะส่งต่อให้แพทย์และทีมบำบัดรักษานำไปใช้ประกอบการวินิจฉัย ตลอดจนช่วยแก้ไขปัญหาในขั้นตอนต่อไป

“ข้อมูลที่ควรสังเกตุและจดบันทึก” ก่อนพาลูกไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาเรื่องอาการลูกพูดช้า

1: คุณภาพการพูดตามวัย

คุณภาพการพูดตามวัยของเด็ก ที่พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถสังเกตุและนึกภาพตามได้โดยง่าย เป็นดังนี้ คือ

1 ขวบ: เริ่มพยายามสื่อความหมายได้ 1 พยางค์ง่าย ๆ เป็นหมวดคำที่หลากหลาย เช่น หม่ำ  หมา  ไป  แม่  ไม่

2 ขวบ: สื่อความหมายได้ 2 พยางค์

3 ขวบ: สื่อความหมายได้ 3 พยางค์ และพูดได้คละหมวด

4-5 ขวบ: ใช้ประโยคสั้น ๆ ได้ใจความค่อนข้างสมบูรณ์  สื่อสิ่งที่ต้องการได้อย่างเข้าใจความหมาย สานต่อการสนทนาไปในทิศทางเดียวกับเนื้อหาของคู่สนทนาได้ และเด็กจะสื่อความหมายด้วยหลายวิธีประกอบกันทั้งพูด ทำท่าทางประกอบ สบตา ชี้ชวน เช่น พยักหน้า และจะแสดงสีหน้าประกอบให้เห็นการสื่อถึงอารมณ์ได้ชัดเจน

2. ลักษณะการพูดของเด็กที่พูดช้า

สำหรับเด็กที่พูดช้า โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้ ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถลองสังเกตุลักษณะการพูดของลูก จดบันทึกว่าลูกน่าจะอยู่ในเด็กพูดช้ากลุ่มใด และส่งข้อมูลให้แพทย์ต่อไป

A: เด็กปกติทั่วไปแต่มีพัฒนาการด้านการพูดช้ากว่าเพื่อนไนวัยเดียวกันจึงพูดช้าซึ่งพบได้เสมอ ลักษณะของเด็กในกลุ่มนี้ คือ เด็กมักพยายามที่จะพูด มีการสบตาเว้าวอน และสามารถใช้ภาษาท่าทางแบบเจาะจงได้ เช่น ชี้ไปยังสิ่งที่ต้องการ ทำท่าพยักพเยิด หรือมองไปยังของที่ต้องการแม้ของสิ่งนั้นจะอยู่ในที่ ๆ ไกลออกไป

B: เด็กอาจมีปัญหาพัฒนาการบางด้านที่ส่งผลให้พูดช้าหรือพูดไม่สมวัย เช่น อาการสมาธิสั้นที่ส่งผลให้เด็กซนจนไม่สนใจเลียนแบบการพูด อย่างไรก็ตาม เด็ก ๆ ในกลุ่มนี้ยังมีความพยายามที่จะสื่อสารบอกความต้องการด้วยการสบตา หรือใช้ภาษาท่าทาง เช่น มองไปที่ของ มองกลับมาที่พ่อแม่ แล้วสบตาและพยักพเยิด

C: เด็กที่อาจมีอาการออทิสติก ไม่สบตา ไม่สานต่อแบบสองทาง ไม่ใช้ภาษาท่าทางที่ชี้ชัด เช่น เมื่อต้องการอะไร เด็กจะลากมือพ่อแม่ไปโดยไม่ช้อนตาขึ้นมองหน้าพ่อแม่ อาจจะมองที่ของ แต่ไม่สลับกลับมามองคนที่จะช่วยไปเอาของให้ ไม่ชี้ไปยังของที่ต้องการ ไม่ทำท่าพยักพเยิดประกอบ

3: สำหรับลูกที่อยู่ในวัย 2.6 ขวบและยังไม่พูด ร่วมกับมีการเคลื่อนไหวที่ดูไม่สมวัย เช่น เดินช้า เคลื่อนไหวแบบดูไม่แข็งแรง ป้อแป้ ก้าวขึ้น-ลง ทางต่างระดับไม่คล่อง ลุกยืนไม่คล่อง ปีนป่ายเก้งก้าง วิ่งเร็ว ๆ และหยุดเบรกไม่ได้ พ่อแม่ผู้ปกครองควรจดบันทึกลักษณะร่วม และรีบพาลูกไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กหรือจิตแพทย์เด็กโดยเร็ว

พัฒนาการด้านการพูดที่ลูกทำได้ตามวัยนับเป็นพื้นฐานที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งของทักษะการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารอันส่งผลต่อการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ของลูกในวัยถัด ๆ ไป ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตุการพูดของลูก ตลอดจนจดบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการสังเกตุ หากพบว่าลูกพูดช้า ก็ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเพื่อทำการวินิจฉัยอาการ และเข้าสู่การบำบัดรักษาสำหรับลูกรายที่มีปัญหาด้านการพูดต่อไป

เครดิตภาพ: freepik