จับปรับ พฤติกรรม “ซนอยู่ไม่สุข” (ตอนที่ 2) | บ้านอุ่นรัก
ตอน: เพิ่มการเคลื่อนไหวอย่างมีทิศทางและการออกกำลังกายที่ช่วยลดอาการซน อยู่ไม่สุข
การช่วยให้อาการ “ซนอยู่ไม่สุข” ของลูกลดน้อยลงไปได้นั้น คุณแม่ คุณพ่อ ผู้ปกครองจำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญใน “การปรับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ 5 ประการ” ดังที่ “บ้านอุ่นรัก” ได้เกริ่นไปแล้วในตอนก่อนหน้านี้ คือ (1) เพิ่มการเคลื่อนไหวอย่างมีทิศทางและการออกกำลังกายที่ช่วยลดอาการซนอยู่ไม่สุข (2) จัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้มีระเบียบมากขึ้น (3) เริ่มสร้างกฎกติกาบางอย่างตามวัยของลูก (4) ลดอาหารที่มีส่วนกระตุ้นระดับการตื่นตัว และ (5) แทรกกิจกรรมฝึกคงสมาธิ
สำหรับตอนนี้ เรามาเริ่มต้นกันที่การปรับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ประการแรก คือ “เพิ่มการเคลื่อนไหวอย่างมีทิศทางและการออกกำลังกายที่ช่วยลดอาการซนอยู่ไม่สุข” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเราต้องมีการจัดการทางกายภาพให้กับลูก ๆ ซึ่งวิธีการจัดการที่ว่านี้ “บ้านอุ่นรัก” ได้ใช้จริงในการปรับพฤติกรรมของลูกศิษย์ และพบว่าใช้ได้ผลชัดเจนในระยะยาว
(1) เพิ่มการเคลื่อนไหวอย่างมีทิศทางและการออกกำลังกายที่ช่วยลดอาการซนอยู่ไม่สุข
เป็นการจัดการทางกายภาพ 4 รูปแบบ คือ
1.1: การออกกำลังกายอย่างมีทิศทางเพื่อเผาผลาญพลังงานเหลือใช้
สำหรับลูกที่มีพฤติกรรมซนอยู่ไม่สุข เราอาจเข้าใจผิดว่าลูกที่ซนอยู่ไม่สุขและเคลื่อนไหวไป ๆ มา ๆ ทั้งวันนั้นคือได้ออกกำลังกายเยอะแล้ว แต่ข้อเท็จจริงคือลูกที่ซนอยู่ไม่สุขและเคลื่อนไหวทั้งวันยังคงซนมากอยู่ แสดงว่าลูกยังมีพลังงานเหลือใช้อยู่อีกมาก และเราต้องหาทางจัดการพลังงานเหลือใช้เหล่านั้นด้วยการหากิจกรรมต่าง ๆ ให้ลูกทำ
กิจกรรมการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานเหลือใช้ที่จะให้ลูกทำ ต้องเน้นการเคลื่อนไหวอย่างที่มีทิศทางและได้ออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานไปพร้อม ๆ กัน ทั้งนี้ เราควรทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นไปกับลูก เพื่อได้จับตาดูและคอยเตือนให้ลูกเคลื่อนไหวอย่างมีทิศทาง โดยไม่ปล่อยให้ลูกเคลื่อนไหวในลักษณะที่เตลิดไปทางโน้นทีทางนี้ที ทั้งนี้ เราควรจัดตารางเวลาการออกกำลังกายอย่างมีทิศทางให้กับลูกให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ๆ 15 ถึง 30 นาทีในเด็กเล็ก หรืออาจถึง1ชั่วโมงในเด็กโต
ตัวอย่างกิจกรรมที่ทำได้ง่าย ๆ เช่น เดินเล่นระยะไกลพอควร วิ่งไล่เตะลูกบอล วิ่งในลู่อย่างมีทิศทาง วิ่งไปพร้อมกับพ่อแม่ (ไม่ปล่อยลูกวิ่งเตลิดไร้รูปแบบ) ปั่นจักรยานไปด้วยกัน ฝึกว่ายน้ำ
1.2: การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวที่เพิ่มการระมัดระวังตัวและได้ฝึกการคุมตนเองในขณะที่เคลื่อนไหวผ่านสิ่งกีดขวางต่าง ๆ
ตัวอย่างกิจกรรมที่ทำได้ง่าย ๆ เช่น พาลูกไปสนามเด็กเล่นเพื่อเล่นเครื่องเล่นสนาม โดยไม่ปล่อยให้ลูกใช้สนามเด็กเล่นเป็นที่วิ่งเล่นวิ่งวนไปมา แต่เราจะพาลูกสำรวจเครื่องเล่นอย่างมีรูปแบบมากขึ้น เช่น ได้ปีนป่ายตาข่าย ได้มุดลอด ได้ขึ้นลงกระดานลื่นอย่างถูกทิศทาง ไม่ปีนขึ้นแบบย้อนศร เล่นเดินบนสะพานทรงตัวโดยเดินขนานด้านข้างให้ลูกเดินได้จนสุดทางโดยไม่วิ่งลงระหว่างทาง ทั้งนี้ เราจะกำหนดในใจให้ลูกได้สำรวจเครื่องเล่นต่าง ๆ จุดละ 5-10 รอบ
หากอยู่ที่บ้าน เราอาจสร้างด่านเล่นสนุกด้วยกัน เช่น จัดเรียงกล่องรองเท้าวางเป็นระยะแล้วชวนลูกเล่นเดินข้ามสิ่งกีดขวาง ชวนลูกก้าวเดินบนเก้าอี้ที่วางเรียงต่อกัน เล่นเดินบนเชือกที่วางบนพื้นเพื่อฝึกลูกคุมตนเองให้เดินเกาะตามเส้นจนสุดเชือก และการกระโดดไปตามเส้นกะระยะที่เราติดไว้บนพื้น เป็นต้น
การชวนลูกทำกิจกรรมเคลื่อนไหวข้ามสิ่งกีดขวางเป็นแบบฝึกหัดที่ดีที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้ลูกรับรู้ถึงความระมัดระวังในการเคลื่อนไหว และได้ฝึกการควบคุมตนเอง เมื่อลูกได้ทำบ่อย ๆ ก็จะเรียนรู้การควบคุมตนเองและทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ด่านฝึกกิจกรรมเคลื่อนไหวข้ามสิ่งกีดขวางแบบง่าย ๆ และสนุกสนานดังตัวอย่างข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นที่สนามเด็กเล่นหรือที่บ้าน อันที่จริงนั้นก็คือแนวคิดและแบบฝึกแบบเดียวกันกับที่คุณแม่ คุณพ่อ ผู้ปกครองกำลังควักเงินในกระเป๋าไปจ่ายเพื่อซื้อบริการจากครูฝึกนอกบ้านนั่นเอง ซึ่งหากทำเองที่บ้าน ก็จะเป็นการใช้เวลาคุณภาพไปกับลูก การช่วยกระตุ้นพัฒนาการและปรับพฤติกรรมให้ลูก และการลดอาการซนอยู่ไม่สุขของลูก แบบเปี่ยมรัก ประหยัด Low Cost ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ไม่ต้องรอคิวเข้ารับบริการ และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่มากมายเกินความจำเป็น
3: การจัดสมดุลการเคลื่อนไหวระหว่างวัน
เราไม่ควรปล่อยให้ลูกวิ่ง ปีนป่าย รื้อค้นอย่างไม่มีความหมาย หรือเคลื่อนไหวมาก ๆ นาน ๆ โดยไม่หยุดพัก เพราะยิ่งปล่อยนาน ลูกยิ่งเตลิด ดังนั้น ควรสลับโทนให้ลูกได้มีช่วงเวลาพักอย่างสงบนิ่งด้วย ทั้งนี้ เราไม่ควรปล่อยให้ลูกวิ่งเตลิดนานเกิน 15-20 นาที
ตัวอย่างการจัดสมดุลและสลับโทนให้ลูกที่เคลื่อนไหวมากพอสมควรแล้วได้หยุดพัก เช่น ชวนลูกนั่งร้องเพลงเบา ๆ ชวนลูกนั่งพักและนวดให้ผ่อนคลาย ชวนลูกมานั่งและทำกิจกรรมลงมือทำง่าย ๆ และควรสลับโทนการเคลื่อนไหว-การหยุดพักสงบเช่นนี้บ่อย ๆ ในระหว่างวัน เพื่อให้เกิดสมดุล
4: การแทรกการเตือนให้ลูกเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะจะโคนในชีวิตประจำวัน
ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าเราควรร่วมอยู่ ร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปกับลูก ทั้งนี้ เพราะเรามีจุดประสงค์ที่จะจับตาดูและคอยเตือนให้ลูกเคลื่อนไหวอย่างมีทิศทาง มีจังหวะจะโคน โดยไม่ปล่อยให้ลูกเคลื่อนไหวในลักษณะที่เตลิดไปทางโน้นทีทางนี้ที
ตัวอย่างการเติอนลูก เช่น เตือนให้ตามองมือ ตามองเท้าขณะเคลื่อนไหว บอกให้เดินมาหาเราแทนการวิ่ง เตือนให้มองทางขณะขึ้น-ลงบันได และเตือนให้ทำกิจวัตรต่าง ๆ ช้า ๆ อย่างประณีตและมีจังหวะจะโคนมากขึ้น เป็นต้น และเมื่อลูกทำได้หรือแม้แต่พยายามทำแล้วแต่ยังไม่ได่ผลเต็มร้อย ก็อย่าลืมกล่าวชมในความสำเร็จหรือความพยายามทำของลูกด้วยความจริงใจ ลูกจะได้มีกำลังใจ เกิดความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง และภาคภูมิใจในความพยายามของตนเอง
อันที่จริง การเคลื่อนไหวและการออกกำลังกายอย่างมีทิศทางเพื่อเผาผลาญพลังงานเหลือใช้ เพิ่มการระมัดระวังตัว และฝึกการคุมตนเอง ยังมีอีกมากมายหลายรูปแบบ แต่ตัวอย่างข้างต้นที่ศูนย์กระตุ้นพัฒนาการ “บ้านอุ่นรัก” ยกมากล่าวโดยสังเขปนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ไม่ยุ่งยาก ไม่สลับซับซ้อนจนเกินไป ปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันของลูก มีแทรกอยู่แล้วในวิถีชีวิตจริงของลูก เราใช้จริง ๆ ที่ “บ้านอุ่นรัก” จนลดอาการซนอยู่ไม่สุขของลูกได้ และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อบริการนอกบ้านได้เป็นอย่างดี
ในตอนหน้า เราจะมาปรับวิถีชีวิตความเป็นอยู่เพิ่มเติมกันอีก และจะมาจับ (ลูก) ปรับความซนอยู่ไม่สุขกันต่อ โปรดติดตามอ่านนะคะ
เครดิตภาพ: Wayne Lee-Singh | Unsplash