9 พฤติกรรมของลูกหลานที่ไม่ควรปล่อยผ่าน | บ้านอุ่นรัก

9 พฤติกรรมของลูกหลานที่ไม่ควรปล่อยผ่าน | บ้านอุ่นรัก

9 พฤติกรรมของลูกหลานที่ไม่ควรปล่อยผ่าน

  1. พฤติกรรมต่อต้าน ไม่ร่วมมือในกิจกรรมที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน       ไม่ร่วมกิจกรรมที่จำเป็นทางสังคม
  2. พฤติกรรมทำร้ายตนเองและคนรอบข้าง เช่น ตี หยิก กัด แย่งของ
  3. พฤติกรรมทำลายของ รวมถึงขว้างปาสิ่งของหรือเข้าไปวุ่นกับสิ่งของรอบตัวแบบไม่เหมาะสม
  4. อารมณ์กวัดแกว่ง รุนแรง ขัดใจไม่ได้ (ในเรื่องที่จำเป็น)
  5. การพึ่งพิงทางอารมณ์ ยึดติดคน ใกล้ชิดแบบไม่สมวัย
  6. หมกมุ่น ยึดติด สิ่งของจนขัดขวางการเรียนรู้ใหม่ ๆ หรือกระทบความเป็นอยู่ตามธรรมชาติ
  7. พฤติกรรมรบกวนทางสังคม เช่น เข้าหาคนมากเกินควร เข้าไปจัดการ จัดสภาพการแต่งกาย      ความเป็นอยู่การเล่นของคนอื่น วุ่นกับสิ่งของคนอื่น แย่งของ ไม่แบ่งปันสิ่งที่เป็นส่วนรวม        ใช้สิ่งสาธารณะแบบไม่เหมาะสม
  8. ไม่ยอมรับกฎกติกาหรือข้อตกลงตามวัย
  9. ไม่เข้าใจมารยาทพื้นฐานตามวัย

Photo Credit: Allef Vinicius | Unsplash

ปัจจัยที่จะส่งผลให้การปรับพฤติกรรมประสบความสำเร็จ | บ้านอุ่นรัก

ปัจจัยที่จะส่งผลให้การปรับพฤติกรรมประสบความสำเร็จ | บ้านอุ่นรัก

การปรับพฤติกรรมของลูกหลานเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องทำ ทั้งนี้เพราะพฤติกรรมบางอย่าง เรา “ปล่อยผ่านไม่ได้จริง ๆ” เช่น พฤติกรรมทำลายข้าวของ ทำร้ายตนเองและคนรอบข้าง หมกมุ่น ยึดติด หรือไม่เคารพกติกาหรือข้อตกลงที่เคยทำไว้ร่วมกัน เป็นต้น

การปรับพฤติกรรมของลูกหลานนั้น ขอเพียงเราได้รู้แนวทางและลงมือนำแนวทางที่รู้มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ เราก็จะประสบความสำเร็จในการลงมือทำ

บ้านอุ่นรักหวังว่าแนวทางการปรับพฤติกรรมที่เราให้นี้ จะเป็นประโยชน์ต่อคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง คุณครู และผู้ที่สนใจทุกท่าน ตลอดจนส่งผลดีต่อลูกหลานที่จะได้มีพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ดีขึ้นได้ในท้ายที่สุด

3 สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำ หลังลูกออทิสติกได้เข้าเรียนร่วมในโรงเรียนอนุบาล | บ้านอุ่นรัก

3 สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำ หลังลูกออทิสติกได้เข้าเรียนร่วมในโรงเรียนอนุบาล | บ้านอุ่นรัก

 3 สำหรับท่านที่ได้อ่านบทความเรื่อง “ทีมครอบครัว ทีมบำบัด และทีมโรงเรียน: 3 แรงแข็งขันที่ต้องช่วยกันจึงจะสามารถผลักดันเด็กออทิสติกให้ประสบความสำเร็จในการเรียนร่วมในโรงเรียน” จบไปแล้วนั้น ท่านคงได้เห็นภาพรวมกันแล้วว่าคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองมีงานอะไรที่ต้องทำบ้างในฐานะ “หัวเรือใหญ่” ที่จะนำทีม ประสานทีม และเชื่อมโยงทีมสำคัญทั้ง 3 ทีมเข้าด้วยกันจึงจะเตรียมลูกให้มีความพร้อมมากพอจนลูกได้เข้าเรียนร่วมในโรงเรียนอนุบาล

แน่นอนว่างานของพ่อแม่ผู้ปกครองในฐานะหัวเรือใหญ่ที่เริ่มต้นจากการเตรียมความพร้อมให้ลูก จนลูกพร้อมมากพอที่จะเข้าเรียนร่วมในโรงเรียน ประกอบกับการประสานงานกับทีมบำบัดและทีมโรงเรียนเพื่อสนับสนุนให้ลูกได้เรียนร่วมในโรงเรียน ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น

ในตอนนี้ ศูนย์กระตุ้นพัฒนาการ “บ้านอุ่นรัก” อยากชวนเพื่อน ๆ มาติดตามกันต่ออีกสักหน่อยว่า พ่อแม่ผู้ปกครองหรือหัวเรือใหญ่ของลูก ยังมีงานหรือบทบาทต่อเนื่องอะไรที่ต้องทำอีก เพื่อขับเคลื่อนให้การเรียนร่วมของลูกมีความต่อเนื่องจากชั้นอนุบาล …ไปสู่ชั้นเรียนอื่น ๆ ได้ตามศักยภาพที่ลูกออทิสติกมี 

3 สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำ หลังลูกออทิสติกได้เข้าเรียนร่วมในโรงเรียนอนุบาล

หนึ่ง: ทำความเข้าใจลูก

สอง: ทำความเข้าใจโรงเรียน

สาม: ประสาน รวบรวม และส่งต่อข้อมูลระหว่างทีมครอบครัว ทีมบำบัด และทีมโรงเรียน

หนึ่ง: ทำความเข้าใจลูก

เมื่อลูกออทิสติกเข้าสู่การเรียนร่วมที่โรงเรียนแล้ว คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองจำเป็นต้องเข้าใจว่าในช่วงแรก ๆ ลูก ๆ จำนวนมากยังมีปัญหาเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่โรงเรียนเป็นอย่างมาก ท่านจึงจำเป็นต้องเข้าใจลูก ให้เวลาและโอกาสลูกในการปรับตัว อีกทั้งให้การสนับสนุนลูก ๆ ตามความจำเป็นอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าลูกจะปรับตัวได้ดีมากขึ้น

สอง: ทำความเข้าใจทีมโรงเรียน

การที่ทีมโรงเรียนต้องรับมือกับลูก ๆ ออทิสติกในชั้นเรียนควบคู่ไปกับการดูแลนักเรียนคนอื่น ๆ ให้ราบรื่นได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ตามวิถีปกติที่เคยทำในการรับมือกับเด็กนักเรียนทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ ทีมโรงเรียนย่อมไม่สามารถใช้เวลาและบุคลากรทั้งหมดที่มีเพื่อมาดูแลลูกเพียงคนเดียวได้ เพราะยังต้องดูแลลูกและเพื่อน ๆ ของลูกในชั้นเรียนเดียวกันให้ดี ได้ตามสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าในชั้นเรียน คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องเข้าใจทีมโรงเรียน ตลอดจนให้เวลาแก่ทีมโรงเรียนในการสร้างความคุ้นเคยและช่วยเหลือลูกเรื่องการเรียนรู้ มีการแจ้งข้อมูลเรื่องแนวทางการรับมือเพื่อสนับสนุนการทำงานของทีมโรงเรียน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก่ทีมโรงเรียนในเรื่องต่าง ๆ อย่างเหมาะสมตามที่ทีมโรงเรียนได้แจ้งหรือขอมาเมื่อคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง และทีมโรงเรียนเข้าอกเข้าใจกัน สื่อสารระหว่างกันด้วยความเมตตา และเชื่อใจกันว่าต่างฝ่ายต่างมีความปรารถนาดีต่อลูก ลูกก็จะเป็นคนที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงมือทำร่วมกันในท้ายที่สุด

สาม: ประสาน รวบรวม และส่งต่อข้อมูลระหว่างทีมครอบครัว ทีมบำบัด และทีมโรงเรียน

การประสาน รวบรวม และส่งต่อข้อมูลระหว่างทีมสำคัญทั้ง 3 ทีมนี้ คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองจำเป็นต้องใช้ “สมุดสื่อสาร” มาเป็นตัวช่วยในการประสาน รับ และส่งข้อมูลระหว่างทีม

ตอนนี้ เรามาทบทวนกันสักนิดว่าสามทีมสำคัญประกอบด้วยใครกันบ้าง

หนึ่ง: ทีมครอบครัว ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง และสมาชิกทุกคนในบ้าน

สอง: ทีมบำบัด ประกอบด้วยแพทย์ นักวิชาชีพที่ช่วยบำบัดลูก และครูกระตุ้นพัฒนาการของลูก

สาม: ทีมโรงเรียน ซึ่งหมายรวมถึงผู้บริหารโรงเรียน ครูประจำชั้น และครูผู้ช่วยทุก ๆ คนที่ช่วยดูแลลูกในขณะที่ลูกอยู่ในโรงเรียน

หลังลูกเข้าเรียนร่วมในโรงเรียน คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง ยังคงต้องทำหน้าที่ในการประสาน รวบรวม และส่งต่อข้อมูลระหว่างทีมต่าง ๆ ซึ่งงานนี้ท่านต้องใช้ “สมุดสื่อสาร” เป็นตัวช่วยในการประสานข้อมูลกับทั้งสามทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีมโรงเรียน

บ้านอุ่นรักไม่แนะนำให้คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองใช้ความจำในการจำข้อมูลเพื่อส่งต่อ ทั้งนี้เพราะข้อมูลที่ได้จากความจำ อาจไม่ครบถ้วนและไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในบางกรณี

เราขอแนะนำให้คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง จดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่ได้จากการพบเห็น การสังเกต หรือได้จากการไปปรึกษากับทั้งสามทีม ลงไปใน “สมุดสื่อสาร” อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้น จะได้นำข้อมูลที่บันทึกไว้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการร่วมกันหาแนวทางเสริมและสร้างพัฒนาการให้กับลูก ๆ ที่อยู่ในวัยเรียนได้ต่อไป

ข้อมูลที่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง ควรจดบันทึกลงไปในสมุดสื่อสาร คือ

หนึ่ง: ตารางสรุปพัฒนาการของลูก พฤติกรรมของลูก และเป้าหมายของพัฒนาการและพฤติกรรมที่แพทย์และทีมบำบัดกำลังติดตามและลงมือทำ

สอง: บันทึกการตอบสนองโดยทั่วไปที่ลูกมี

สาม: หัวข้อการเรียนรู้หรือกิจกรรมที่โรงเรียน ที่ต้องมีการทบทวนการเรียนรู้แต่ละวันต่อที่บ้าน

สี่: รายการของการบ้านที่ต้องทำและได้ทำ

ห้า: รายการสิ่งของที่ครูมอบหมายให้ลูกนำมาจากบ้านเพื่อใช้ในการเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียน

หก: ปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ของลูก ตลอดจนแนวทางการแก้ไข ทั้งนี้ หากลูก ๆ มีปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ที่ต้องแก้ไข แต่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองยังไม่เคยรู้แนวทางการแก้ไขมาก่อน ท่านจะได้นำข้อมูลใหม่ ๆ จากการบันทึก ไปขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมบำบัด และส่งต่อข้อมูลที่เป็นประโยชน์นี้ให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ ของทีมครอบครัวและทีมโรงเรียนอย่างชัดเจนได้ต่อไป

การที่คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองลงมือทำ 3 สิ่งที่ต้องทำหลังลูกเข้าเรียนร่วมที่โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น (1) ความเข้าใจที่มีต่อลูก (2) ความเข้าใจในทีมโรงเรียน ตลอดจน (3) ประสาน รวบรวม และส่งต่อข้อมูลระหว่างสามทีมโดยใช้ “สมุดสื่อสาร” ในการจดบันทึก รวบรวม และส่งต่อข้อมูลนั้น คือ ท่านได้ทำเรื่องที่ถูกต้องเป็นอย่างดีที่สุดแล้วในทุก ๆ วัน และเมื่อผสานความถูกต้องที่ทำอยู่ทุกวัน เข้ากับความเมตตาและความเชื่อใจว่าทีมสำคัญทั้ง 3 ทีมต่างรักและปรารถนาดีต่อลูก เราเชื่อแน่ว่าลูกออทิสติกตัวน้อย ๆ ที่อยู่ตรงหน้าของท่าน จะใช้ชีวิตในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี และสามารถเรียนร่วมในชั้นเรียนต่าง ๆ ได้ต่อเนื่อง จนก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายได้อย่างแท้จริง

ลูกออทิสติกตัวน้อย ๆ ของคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง มักเริ่มต้นการก้าวเดินด้วยฝีเท้าก้าวเล็ก ๆ ที่เตาะแตะ เดินช้า และเดินตามหลังเพื่อน ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน แต่เพราะลูก ๆ มีคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง + มีทีมครอบครัว + มีทีมบำบัด + และมีทีมโรงเรียน คอยอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุน ในไม่ช้า ทุก ๆ ก้าวเดินของลูกจะมั่นคง และเปลี่ยนจากการเดิน สู่การวิ่งได้เต็มฝีเท้าอย่างสุดกำลัง

บ้านอุ่นรักได้เห็นการออกเดินและวิ่งเช่นที่ว่านี้ของลูก ๆ ออทิสติกมาแล้ว และเห็นรุ่นแล้วรุ่นเล่า เราจึงขอให้กำลังใจคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองทุก ๆ ท่าน เราขอเพียงท่านอย่าถอดใจเสียกลางคัน แต่ขอให้ท่านมั่นใจในสิ่งดี ๆ ที่ได้ทำ และเราซึ่งเป็นฝีพายของหัวเรือใหญ่ทุกท่านจะร่วมอยู่บนเส้นทางสายนี้เพื่อผลักดันและส่งลูกหลานออทิสติกของท่านให้ได้เข้าสู่การเรียนร่วมในโรงเรียนได้อย่างมีความหมายที่แท้จริงต่อไป

Photo Credit: Felipe Salgado from Unsplash

7 วิธีกระตุ้นลูก ๆ ให้พูด | บ้านอุ่นรัก

7 วิธีกระตุ้นลูก ๆ ให้พูด | บ้านอุ่นรัก

7 วิธีกระตุ้นลูก ๆ ให้พูด

ปัญหาเรื่องลูกออทิสติกไม่ยอมพูดนี้ เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครอง มีความวิตกกังวลใจเป็นอย่างมาก จึงต้องพยายามหาวิธีต่าง ๆ นานาเพื่อช่วยบุตรหลานแก้ไขปัญหานี้

หากเรากังวลว่าลูกหลานของพวกเราอาจมีปัญหาดังกล่าว เราควรรีบพาพวกเขาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กหรือจิตแพทย์เด็ก เพื่อแพทย์วินิจฉัยอาการ ตลอดจนให้คำแนะนำเรื่องแนวทางการบำบัดรักษาต่อไป ทั้งนี้ หากแพทย์แนะนำให้เราพาลูกหลานไปฝึกพูดกับครูฝึกพูด เราต้องทำตามคำแนะนำนั้น เพราะครูฝึกพูดเป็นนักวิชาชีพผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่สามารถช่วยให้เด็ก ๆ มีพัฒนาการด้านภาษาได้

นอกเหนือจากความช่วยเหลือของแพทย์และครูฝึกพูดแล้ว คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองอาจสงสัยว่า “เราซึ่งเป็นพ่อ แม่ และสมาชิกในครอบครัวของเด็ก ๆ จะทำอะไรควบคู่ได้บ้างหรือไม่ เพื่อช่วยเด็ก ๆ แก้ปัญหาการไม่ยอมพูดหรือไม่ก็ช่วยให้เด็ก ๆ ค้นและพบกับ “เสียง” ของตนเองได้”

สำหรับศูนย์กระตุ้นพัฒนาการบ้านอุ่นรัก หากเราได้รับคำถามเรื่องต่าง ๆ จากคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง และคุณครูของเด็ก ๆ เรายินดีเป็นเพื่อนคู่คิด ผู้คอยแบ่งปันข้อมูลและความรู้เพื่อประโยชน์ที่ปลายทางคือลูก ๆ ของพวกเราเติบโตอย่างมีคุณภาพและสามารถดำรงชีวิตได้ด้วยตนเอง

ในเรื่องข้อมูลและความรู้ต่าง ๆ นี้ แม้บ้านอุ่นรักทำงานด้านการกระตุ้นพัฒนาการให้กับลูก ๆ ออทิสติก ลูกสมาธิสั้น และลูกที่มีพัฒนาการช้าไม่สมวัยมานานถึง 26 ปี แต่เราไม่เคยหยุดการเรียนรู้ เรามีทีมงานวิชาการของศูนย์ ฯ ที่คอยค้นคว้าและสืบค้นความรู้เรื่องต่าง ๆ ในหลาย ๆ แง่มุม เพื่อทีมทำงานของพวกเราได้เรียนรู้เพิ่มเติม ตลอดจนนำเทคนิควิธีการใหม่ ๆ มาใช้กระตุ้นพัฒนาการให้กับลูกศิษย์ของพวกเรา นอกจากนี้ หากข้อมูลใดที่ได้จากการสืบค้นน่าจะมีประโยชน์ต่อครอบครัวและคุณครู เราก็จะแปลและนำข้อมูลมาเรียบเรียงเพื่อสะดวกต่อการอ่าน จากนั้น จึงจะเผยแพร่ข้อมูลความรู้นั้น ๆ ผ่านเวบไซต์และเฟสบุ๊คของเราต่อไป

ปัญหาเรื่อง “เราจะช่วยลูกที่ไม่ยอมพูด ให้พูด ได้อย่างไร” นี้ ทีมวิชาการของบ้านอุ่นรักอ่านเจอบทความดี ๆ ชิ้นหนึ่ง เรื่อง “7 วิธีช่วยลูกที่ไม่ยอมพูด ให้พูด” ซึ่งองค์กร Autism Speaks ได้ทำการเผยแพร่ผ่านเวบไซด์ขององค์กรเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

บทความนี้มีความน่าสนใจในหลายประการ คือ เนื้อหามีประโยชน์ในเชิงปฏิบัติ หากเรานำวิธีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันที่เราอยู่ร่วมกับเด็ก ๆ ก็จะมีประโยชน์ต่อการสร้างเสริมและซ่อมแซมพัฒนาการด้านภาษาและการพูดให้พวกเขาได้

นอกจากนี้ องค์กร Autism Speaks ผู้เผยแพร่บทความต้นฉบับได้ระบุว่าบทความนี้เป็นบทความเชิงแนะแนวขององค์กรที่ได้รับความนิยมสูงสุดบทความหนึ่งและได้รับการแชร์ไปแล้วมากถึง 15,000 ครั้ง อีกทั้งผู้เขียนบทความนี้ทั้งสองท่านยังเป็นแพทย์และนักจิตวิทยาคลีนิกเด็กผู้เชี่ยวชาญเรื่องเด็กออทิสติก จนได้รับการยอมรับนับถือเป็นอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกา ทีมวิชาการของบ้านอุ่นรักจึงแปลและเรียบเรียงบทความนี้ใหม่ เพื่อเราได้อ่านโดยสะดวกไปด้วยกัน

สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง และคุณครู ที่ต้องการอ่านบทความต้นฉบับ ท่านสามารถอ่านได้ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ค่ะ

https://www.autismspeaks.org/expert-opinion/seven-ways-help-your-nonverbal-child-speak

Credit เจ้าของบทความ

องค์กร Autism Speaks ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2548 โดยคุณ Bob และคุณ Suzanne Wright ผู้มีหลานเป็นเด็กออทิสติก ต่อมา ท่านได้ทำงานร่วมกับองค์กรชั้นนำเรื่องโรคออทิสติกอีก 3 แห่ง คือ Autism Coalition for Research and Education (ACRE) | the National Alliance for Autism Research (NAAR) | และ Cure Autism Now (CAN) ในนาม Autism Speaks และให้สำคัญเรื่องการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจโรคออทิสติก การวิจัย การดูแล และส่งเสริมให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลออทิสติกและครอบครัว

Credit ผู้เขียนบทความ

  1. ดอกเตอร์ Geraldine Dawson นักจิตวิทยาคลินิกเด็กชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคออทิสติก ท่านเคยดำรงตำแหน่งประธานบริหารเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์คนแรกขององค์กร Autism Speaks ในปัจจุบัน ท่านดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์สมองของมหาวิทยาลัยดุ๊ก ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงของประเทศสหรัฐอเมริกา
  2. ดอกเตอร์ Lauren Elder นักจิตวิทยาคลินิกผู้ซึ่งเป็นทั้งแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก และนักวิจัยผู้มีประสบการณ์กว่า 15 ปีในการฝึกอบรมให้กับครอบครัวและคลินิกทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ

Credit ภาพ

Irena Carpaccio from Unsplash

Seven ways to help your nonverbal child speak | เจ็ดวิธีช่วยลูกที่ไม่พูดของคุณ ให้พูด

จากการที่นักวิจัยหลายท่านได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยที่นำมาซึ่งความหวังว่า “แม้ลูก ๆ จะอยู่ในวัยเกิน 4 ขวบแล้ว เราก็ยังมีวิธีช่วยลูกให้ค่อย ๆ สร้างเสริมพัฒนาการด้านภาษาได้” ทำให้ทั้งครอบครัวและคุณครูของเด็ก ๆ ตลอดจนบุคคลอื่น ๆ เกิดความอยากรู้ว่า “เราต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถสร้างเสริมพัฒนาการด้านภาษาให้กับลูก ๆ ที่ยังไม่ยอมพูด ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาพัฒนาการด้านการพูดให้กับลูก ๆ ออทิสติกที่เป็นเด็กวัยรุ่นได้”

ก่อนที่เราจะมาพบกับเคล็ดลับดี ๆ ที่ช่วยกระตุ้นการพูดของลูก เราต้องเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อนว่าลูกออทิสติกของพวกเราแต่ละคน ต่างมีกลุ่มอาการ ระดับความซับซ้อนของปัญหา และความบกพร่องที่แตกต่างกัน ดังนั้น วิธีที่เราลองใช้แล้วได้ผลในลูกคนหนึ่ง อาจใช้ไม่ได้ผลดีในระดับที่เท่ากันในลูกคนอื่น ๆ นอกจากนี้ แม้ว่าลูก ๆ ออทิสติกของพวกเรามีความสามารถที่จะเรียนรู้เรื่องการสื่อสาร แต่รูปแบบการสื่อสารที่พวกเขาทำ อาจไม่ได้ทำผ่านภาษาพูดในทุกกรณีไป สำหรับลูก ๆ ของพวกเรา ไม่ว่าเขาจะพูดหรือไม่พูดก็ตาม พวกเขายังสามารถใช้ชีวิตในสังคมและสื่อสารกับเราได้ แต่อาจเป็นการสื่อสารผ่านตัวช่วยรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะแผ่นภาพ หรือสื่อสารผ่านเทคโนโลยี เป็นต้น

จากข้อเท็จจริงเรื่องกลุ่มอาการ ระดับ และความซับซ้อนของปัญหาที่แตกต่างกันของลูกแต่ละคน ตลอดจนประสิทธิผลที่ได้การช่วยเหลือลูก ๆ ที่อาจแตกต่างกันได้นั้น เรามาพบกับกลยุทธ์เจ็ดอันดับยอดนิยมที่ผู้เขียนบทความนี้แนะนำให้เราลองใช้เพื่อส่งเสริมพัฒนาทางภาษาให้ลูก ๆ ที่ไม่ยอมพูด ตลอดจนน้อง ๆ วัยรุ่นออทิสติกที่มีความบกพร่องด้านการพูดกันเลยนะคะ

  1. ส่งเสริมการเล่นและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

เด็ก ๆ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รวมทั้งเรียนรู้เรื่องการใช้ภาษาผ่านการละเล่น ยิ่งถ้าได้เล่นเชิงโต้ตอบ ก็นับเป็นโอกาสดีที่เราและลูกได้ทั้งสนุกร่วมกันและมีการสื่อสารปฏิสัมพันธ์กัน เวลาเล่นกับลูก เราลองเล่นในรูปแบบต่าง ๆ ที่ลูกชอบ หรือไม่ก็ชวนลูก ๆ ทำกิจกรรมสนุก ๆ ที่สร้างเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคมให้กับพวกเขา เช่น ร้องเพลงไปด้วยกัน กล่อมลูกนอนด้วยเพลงกล่อมเด็ก หรือชวนลูกพูดคุยด้วยความอ่อนโยนและเมตตา ทั้งนี้ ในขณะที่เราและลูกเล่นด้วยกันหรือมีปฏิสัมพันธ์กัน เรา (ตำแหน่งที่เราอยู่) ต้องอยู่ตรงหน้าลูก อยู่ใกล้ลูก อยู่ในระดับสายตา ทั้งนี้เพื่อลูก ๆ มองเห็นเราได้โดยง่ายและได้ยินสิ่งที่เราพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำนั่นเอง

  1. เลียนแบบสิ่งที่ลูกทำ

เราเลียนเสียงต่าง ๆ ที่ลูกเปล่งออกมา หรือไม่ก็เลียนแบบพฤติกรรมการเล่นของลูก การเลียนแบบสิ่งที่ลูกทำนี้จะกระตุ้นให้ลูกออกเสียงและมีปฏิกริยาโต้ตอบมากขึ้น การเริ่มต้นที่เราเลียนแบบสิ่งที่ลูกทำ จะช่วยให้ลูกหันมาเลียนแบบในสิ่งที่เราทำได้ด้วยในทางกลับกัน อย่างไรก็ตาม เราต้องเลือกเลียนแบบเฉพาะพฤติกรรมทางบวกของลูกเท่านั้น เช่น เมื่อลูกเล่นเข็นหรือไถรถไป ๆ มา ๆ เราจะเลียนแบบท่าเล่นนั้น ๆ และเล่นไปกับลูก แต่ถ้าลูกขว้างปาของเล่น เราต้องไม่เลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าวเพราะเป็นพฤติกรรมทางลบของลูก

  1. ให้ความสำคัญกับการสื่อสารแบบอวัจนภาษา

การสื่อสารแบบอวัจนภาษา คือ การสื่อสารที่ไม่ใช้ระบบคำและประโยค (ข้อมูลเสริมจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี | ผู้แปล) ตัวอย่างการสื่อสารแบบอวัจนภาษา เช่น สื่อสารด้วยการแสดงท่าทางแบบต่าง ๆ และการสบตา เป็นต้น

การสื่อสารแบบอวัจนภาษาสามารถสร้างพื้นฐานเรื่องพัฒนาการด้านภาษาให้ลูก ๆ ได้ เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสารรูปแบบนี้ และช่วยลูกกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาด้วยการทำตนเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็น ตลอดจนเราแสดงวิธีโต้ตอบพฤติกรรมแบบต่าง ๆ ให้ลูกดู ทั้งนี้ เราจะแสดงท่าทางต่าง ๆ ประกอบการสื่อสารกับลูก ๆ และเราต้องทำท่าทางประกอบต่าง ๆ นั้นแบบเกินจริง คือ ใช้ทั้งท่าทางประกอบและมีการพูดออกเสียงควบคู่กันไป เช่น เราอยากให้ลูกดูสิ่งใด เราจะยกแขนและชี้นิ้วไปยังสิ่งนั้นพร้อม ๆ กับการพูดคำว่า “ดู” หรือ เราพยักหน้าพร้อม ๆ กับพูดคำว่า “ใช่”

เราต้องเลือกแสดงท่าทางแบบง่าย ๆ ประกอบการสื่อสาร เช่น ตบมือ ผายมือ หรือเหยียดแขน เพื่อให้ลูกเกิดการเลียนแบบ นอกจากนี้ เราต้องสังเกตท่าทางที่ลูกทำ จากนั้น เราจะตอบสนองต่อท่าทางเหล่านั้นของลูก ๆ เช่น ลูกมองหรือชี้ไปที่ของเล่น หรือลูกแสดงทีท่าเป็นนัยยะให้เรารู้ว่าลูกอยากเล่นของเล่นชิ้นนั้น เราก็ตอบสนองด้วยการพูดบอกชื่อของเล่น (ข้อมูลเสริมจากวิธีที่บ้านอุ่นรักใช้ | ผู้แปล) ต่อด้วยการส่งของเล่นนั้น ๆ ให้ลูก ในทางกลับกัน เราสามารถทำแบบเดียวกับที่ลูกทำกับเราได้อีกด้วย เช่น เราทำท่าชี้ไปที่ของเล่นที่เราต้องการหยิบ เราพูดชื่อของเล่นนั้น (ข้อมูลเสริมจากวิธีที่บ้านอุ่นรักใช้ | ผู้แปล) จากนั้นเราค่อยไปหยิบของเล่นชิ้นนั้นมาเล่นกับลูกเป็นลำดับถัดไป เป็นต้น

  1. เปิดพื้นที่ให้ลูกมีโอกาสได้พูด

เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกอยากเติมคำตอบแทนลูกเสียเองในตอนที่เราตั้งคำถามให้ลูกตอบ แต่ลูกก็ไม่พูดตอบเราอย่างทันท่วงทีเสียสักที อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญในการกระตุ้นทักษะการพูดให้ลูก ๆ คือ เราต้องเปิดพื้นที่ให้ลูกได้สื่อสารบ่อย ๆ ด้วยการกระตุ้นลูก ๆ ผ่านการตั้งคำถามเพื่อให้ลูกเป็นคนตอบ หรือหากเราเห็นว่าลูกอยากได้สิ่งใด เราจะหยุดรอสักครู่หนึ่ง มองจดจ่อไปที่ลูก วางเงื่อนไขว่าหากลูกอยากได้สิ่งใด ลูกต้องพยายามพูดชื่อสิ่งนั้นก่อนที่จะส่งสิ่งนั้นให้ลูก (ข้อมูลเสริมจากวิธีที่บ้านอุ่นรักใช้ | ผู้แปล) หากลูกเปล่งเสียงหรือเคลื่อนไหวร่างกาย เราจะมองตามเสียงหรือการเคลื่อนไหวนั้น ๆ ของลูก ก่อนที่จะแสดงการตอบสนองให้ลูกเห็น การตอบสนองที่เราทำให้ลูกเห็นนี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกถึงพลังของการสื่อสาร พร้อม ๆ กับเรียนรู้และเลียนแบบวิธีการตอบสนองจากสิ่งที่เราทำเป็นต้นแบบได้ค่ะ (ข้อมูลเสริมจากวิธีที่บ้านอุ่นรักใช้ | ผู้แปล)

  1. ใช้ภาษาง่าย ๆ ในการสื่อสาร

การใช้ภาษาง่าย ๆ เมื่อพูดกับลูก จะช่วยให้ลูกสามารถทำตามสิ่งที่เราพูดได้ นอกจากนี้ ภาษาง่าย ๆ ของเราจะช่วยให้ลูกเลียนแบบคำพูดของเราได้ง่ายอีกประการหนึ่งด้วย หากลูกไม่ยอมพูด เราจะเริ่มพูดกับลูกด้วยคำ ๆ เดียว เช่น ในขณะที่ลูกกำลังเล่นลูกบอล เราพูดคำว่า “บอล” หรือ “กลิ้ง” ส่วนลูก ๆ ที่พูดคำ ๆ เดียวออกมาแล้ว เราจะพูดต่อยอดจากคำ ๆ นั้นให้เป็นประโยคสั้น ๆ เช่น กลิ้งบอล โยนบอล เราเรียกกฎข้อนี้ว่า “one-up หรือการทำเพิ่มไปอีกหนึ่งขั้น” ซึ่งขอให้เราทำตามกฎข้อนี้กันนะคะ และโดยทั่วไปแล้วก็คือการต่อยอดคำหนึ่งคำที่ลูกพูด ให้เป็นวลีหรือกลุ่มคำที่มีคำมากกว่าหนึ่งคำที่ลูกพูดออกมานั่นเองค่ะ

  1. ตามติดและต่อยอดการพูดจากสิ่งที่ลูกสนใจ

เวลาที่ลูกสนใจทำสิ่งใดอยู่ แทนที่เราจะไปขัดจังหวะลูก เราควรหันมาใช้คำที่เกี่ยวกับสิ่งนั้นเพื่อพูดต่อยอดกับลูก ๆ ค่ะ ทั้งนี้ เป็นไปตามกฎ “one-up หรือการทำเพิ่มไปอีกหนึ่งขั้น” นั่นเองค่ะ เราสามารถต่อยอดด้วยการพูดเล่าเรื่องให้ลูกฟังว่าลูกกำลังทำอะไรอยู่ เช่น ลูกกำลังเล่นตัวต่อรูปทรงและหยิบตัวต่อรูปทรงบางตัวขึ้นมาเพื่อใส่ลงไปในช่อง เราก็จะพูดกับลูกว่า “ใส่” หากลูกเลือกหยิบตัวต่อรูปทรงแบบใดเพื่อจะนำไปใส่ในช่อง เราก็พูดถึงรูปทรงนั้น (เช่น วงกลม | ผู้แปล) ให้เราก็ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อลูกเริ่มนำรูปทรงแบบใหม่มาเล่น การที่เราพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกสนใจจะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ เพิ่มเติมได้ค่ะ

  1. เลือกใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและตัวช่วยแบบต่าง ๆ ที่เป็นรูปภาพเพื่อกระตุ้นการพูดของลูก

อุปกรณ์และตัวช่วยที่เป็นรูปภาพนี้จะช่วยให้ลูกเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งกว่าการสอนด้วยคำพูด และนับเป็นวิธีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการด้านการพูดและภาษาให้กับลูก ๆ ได้ เช่น ลูกใช้อุปกรณ์และแอพพลิเคชั่นที่เป็นรูปภาพ เมื่อลูกสัมผัสภาพที่ลูกเห็น ก็จะมีคำที่เกี่ยวกับภาพ ๆ นั้นดังออกมาให้ลูกได้ยิน ตัวช่วยที่เป็นภาพนี้กินความรวมถึงภาพต่าง ๆ และกลุ่มรูปภาพที่ลูก ๆ จะใช้เพื่อบอกความต้องการและความคิดของพวกเขา

บ้านอุ่นรักอยากให้คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองลองประยุกต์ใช้วิธีต่าง ๆ ข้างต้นในการกระตุ้นการพูดของลูก ๆ และเมื่อทำแล้ว คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครองอาจแบ่งปันข้อมูลกับทีมบำบัดหรือครูฝึกพูดของบุตรหลาน เพื่อให้พวกเขาได้รู้ว่าเราทำสิ่งใดไปแล้วและได้ผลดี หรือทำไปแล้วกลับพบอุปสรรคอะไร เพื่อทีมบำบัดและครูฝึกพูดให้คำแนะนำเพิ่มเติม การช่วยสร้างเสริมพัฒนาการให้บุตรหลานคู่ขนานไปกับทีมบำบัดนี้ จะช่วยให้เด็ก ๆ มีพัฒนาการที่คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้ค่ะ

การเรียนรู้เรื่องวิธีส่งเสริมพัฒนาการให้กับเด็ก ๆ เป็นเรื่องที่เราทุกคนเรียนรู้ได้ไม่มีวันหมด ขอเพียงเราเริ่มต้นการเรียนรู้และลงมือทำให้ถูกต้องเสียตั้งแต่วันนี้ ย่อมไม่มีคำว่าสายเกินไปนะคะ

สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง และคุณครูที่ต้องการติดต่อ สอบถาม เสนอแนะ หรือให้ข้อคิดเห็นแก่ศูนย์กระตุ้นพัฒนาการบ้านอุ่นรัก ท่านสามารถติดต่อเราผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่นเวบไซต์ เฟสบุ๊ก ไลน์แอด หรือโทรติดต่อเราได้ยังสาขาที่ท่านสะดวกค่ะ

ทำอย่างไรให้เด็กอนุบาลในชั้นเรียนของครูมีทักษะทางสังคมมากขึ้น | บ้านอุ่นรัก

ทำอย่างไรให้เด็กอนุบาลในชั้นเรียนของครูมีทักษะทางสังคมมากขึ้น | บ้านอุ่นรัก

 

 

ชวนกันถาม ร่วมกันหาคำตอบ 

คำถามจากคุณครู 

เด็กนักเรียนอายุ 5 ขวบคนหนึ่งในชั้นเรียนอนุบาลของครู พูดสื่อสารได้ แต่พูดได้ไม่ดีเท่าเพื่อนในวัยเดียวกัน อย่างไรก็ตาม นักเรียนคนนี้ชอบที่จะซักถามครูว่านั่นสีอะไร นี่คืออะไร เป็นต้น 

เด็กนักเรียนคนนี้รู้เรื่องทุกอย่าง แต่ไม่เล่นและไม่เข้ากลุ่มเพื่อร่วมทำกิจกรรมกับเพื่อนนักเรียนที่อยู่ในวัยเดียวกัน แม้ครูให้เพื่อนชวนเด็กเข้ากลุ่ม แต่เด็กก็ยังไม่ยอมเล่นกับเพื่อน ๆ แต่จะเดินเลี่ยงออกไปนั่งอยู่คนเดียวโดยไม่ยอมทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ เลยค่ะ 

ครูต้องทำอย่างไรให้เด็กนักเรียนคนนี้ที่เรียนในชั้นเรียนอนุบาลของครู มีทักษะทางสังคมมากขึ้นค่ะ

คำตอบ

เมื่อเด็กวัยอนุบาลยังยอมไม่เล่นกับเพื่อน ในทางพัฒนาการจะถือว่าเด็กมีพัฒนาการที่ไม่สมวัย ทั้งนี้เพราะโดยธรรมชาติของเด็กวัยอนุบาลนั้น เด็กอยู่ในวัยที่ต้องการเพื่อนและต้องการเข้ากลุ่มเป็นอย่างมาก หากเราไม่รีบแก้ไขปัญหานี้ก่อนวัยประถม เด็กจะปรับตัวและเข้าสังคมยากขึ้นเรื่อย ๆ

ก่อนอื่น เรามาพิจารณาสาเหตุที่เด็กไม่เข้ากลุ่มกับเพื่อนกันก่อนว่าสาเหตุคืออะไร เพื่อหาทางช่วยเหลือเด็กได้อย่างมีแนวทางที่ถูกต้องต่อไป

โดยทั่วไป สาเหตุที่เด็กวัยอนุบาลไม่เข้ากลุ่มเพื่อน มี 2 ระดับ คือ

ระดับที่ 1 เด็กปกติแต่ไม่มีทักษะทางสังคม เด็กจึงไม่รู้วิธีขอเข้ากลุ่ม ข้อสังเกตของเด็กกลุ่มนี้ คือ เด็กให้ความสนใจเพื่อน เด็กนั่งจับตามองไปยังจุดที่เพื่อน ๆ เล่นแบบนิ่ง ๆ นาน ๆ เด็กเข้าไปมอง เด็กเข้าไปดูใกล้ ๆ จุดที่เพื่อน ๆ เล่น แต่เราจะเห็นท่าทีรีรอของเด็กที่จะขอเข้ากลุ่มกับเพื่อน ๆ หรือเมื่อเด็กเข้ากลุ่มไปเล่นกับเพื่อน ๆ แล้ว เด็กหลุดออกมาจากกลุ่มค่อนข้างเร็ว

ขั้นตอนหรือกระบวนการที่ครูจะช่วยเด็กกลุ่มนี้ได้ คือ

  1. ครูพาเด็กเข้ากลุ่มและสอนเด็กให้พูดประโยคที่เขาจะพาตัวเองเข้ากลุ่มได้เองในครั้งต่อไป เช่น เราขอเล่นด้วยคนนะ ขอเล่นด้วยคนได้มั๊ย เป็นต้น
  2. หลังการพาเด็กเข้ากลุ่ม ในระยะแรก ๆ ครูคอยจับตามองเด็กอยู่ห่าง ๆ และเมื่อครูพบว่าเด็กขาดทักษะใดในการร่วมกลุ่ม ครูค่อยเข้าแทรกไปสาธิตหรือบอกบทเป็นระยะ ๆ
  3. หากิจกรรมที่จะเชื่อมให้เด็กสนใจทำกิจกรรมนั้น ๆ ร่วมกันกับเพื่อน เช่น แบ่งบล็อกคนละกอง แต่ชวนมาประกอบด้วยกัน ให้เด็กจับคู่เล่นเกมส์บอร์ดด้วยกัน หรือให้เด็กจับคู่เล่นโยนรับลูกบอลด้วยกัน
  4. สร้างความคุ้นเคยที่เด็กจะได้อยู่ร่วมกับกับเพื่อน ๆ ผ่านกิจกรรมบ่อย ๆ เช่น มอบหมายให้เด็กจับคู่โยนรับบอลคู่ละ 20 ครั้งหรือให้เด็กจับคู่และช่วยกันกรอกน้ำลงขวด เป็นต้น
  5. จัดกิจกรรมบัดดี้ในห้องเรียนของเด็ก โดยจับกลุ่ม ๆ ละ 3 ถึง 4 คน เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ใช้เวลาในช่วงรอยต่อของวันร่วมกันหรือมีการสร้างสถานการณ์ให้เด็ก ๆ รู้ว่าพวกเขาจะต้องดูแลสมาชิกในกลุ่มเล็ก ๆ ของเขาเอง เช่น ดูแลและช่วยกันเก็บของใช้ ไปห้องน้ำพร้อมกัน เล่นมุมด้วยกัน ชวนเพื่อนพูดคุย หรือทานข้าวด้วยกันในกลุ่ม การจับกลุ่มนี้อาจให้เด็กจับกลุ่มกันเองตามสมัครใจและขอเพิ่มเด็กคนนี้เข้าไปเป็นสมาชิกในกลุ่ม โดยเลือกบัดดี้จากเด็กที่เราเห็นว่าเป็นคนชอบช่วยเหลือเพื่อน ให้คำแนะนำเพื่อนเป็น และรู้จักดูแลเพื่อน

ระดับที่ 2 เด็กมีปัญหาพัฒนาการ คือ เด็กที่เมื่อครูสังเกตทักษะการเข้าสังคมของเด็กซ้ำ ๆ ในหลาย ๆ เหตุการณ์ ครูพบภาพรวมว่าเด็กไม่มีแรงจูงใจที่จะเข้ากลุ่ม หรือไม่สนใจเพื่อน ๆ อย่างจริงจัง  เด็กที่มีปัญหาด้านพัฒนาการทางสังคมมักแยกตัวไปทำอะไรบางอย่างเพลิน ๆ อยู่ตามลำพัง หรือสนใจคนรอบข้างในระยะสั้น ๆ แบบแว่บ ๆ แต่ไม่สนใจอย่างจริงจัง

วิธีช่วยเด็กกลุ่มนี้ คือ ครูสรุปข้อมูลภาพรวมที่ได้จากการสังเกต เพื่อนำไปพูดคุยและปรึกษากับผู้ปกครองในขั้นต้นว่าผู้ปกครองอาจต้องพาเด็กกลุ่มนี้ไปพบจิตแพทย์หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเพื่อรับการวินิจฉัยและขอคำแนะนำจากแพทย์ ก่อนที่จะหาทางเพิ่มทักษะทางสังคมให้เด็กตามแนวทางที่แพทย์หรือทีมบำบัดวางไว้ให้ต่อไป

พัฒนาการของเด็กวัยอนุบาลไม่ว่าจะเป็นด้านใด เช่น ภาษา สังคม พฤติกรรม หรืออารมณ์ มีความสำคัญมากเพราะเป็นพัฒนาการพื้นฐานที่จะต่อยอดสู่พัฒนาการในลำดับถัด ๆ ไปของเด็ก หากคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง หรือคุณครูสงสัยหรือกังวลใจว่าเด็กอาจมีปัญหาด้านพัฒนาการ การรีบพาเด็กไปพบจิตแพทย์เด็กหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเป็นการแก้ปัญหาอันดับแรกที่ถูกต้องและต้องทำค่ะ หากแพทย์วินิจฉัยและพบว่าเด็กมีพัฒนาการปกติ เราจะได้สบายใจ แต่หากพบปัญหา เราจะได้รีบหาทางแก้ไขให้ถูกทางค่ะ

บ้านอุ่นรักอยากให้ชวนกันถามมาเยอะ ๆ เพื่อเราร่วมกันหาคำตอบไปด้วยกันค่ะ 

สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง และคุณครูที่ต้องการคำปรึกษาหรือพูดคุยกับพวกเรา สามารถโทรติดต่อ นัดหมายเข้ามาพบ หรือพาลูกมาประเมินเพื่อปรึกษาวางแนวการดูแลได้ที่ศูนย์กระตุ้นพัฒนาการบ้านอุ่นรัก สาขาที่ท่านสะดวกค่ะ