“คุณแม่ท่านหนึ่ง” ได้เขียนบทความ เรื่อง “เส้นทางที่ไม่เคยเดิน” นี้ และอนุญาตให้ศูนย์กระตุ้นพัฒนาการ “บ้านอุ่นรัก” นำมาเผยแพร่ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เธอ ลูก และครอบครัว ได้ร่วมกันเดิน จนผ่านพ้นเส้นทางที่ขรุขระและเต็มไปด้วยขวากหนามมาได้ด้วยดี
ทั้งคุณแม่ท่านนี้และบ้านอุ่นรักขอส่งกำลังใจมายังทุก ๆ ครอบครัว และเราปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่า ในที่สุดแล้ว ทุก ๆ ครอบครัว จะพบวิธีก้าวเดินที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของตนเอง และสามารถเดินไปกับลูก จนถึงจุดหมายปลายทางที่ดีได้สมดังใจหวังค่ะ
“เส้นทางที่ไม่เคยเดิน” ตอนที่ 1: ก่อนชีวิตเปลี่ยน…
…ครอบครัวของเรามีกัน 4 คน พ่อ แม่ และลูกชาย 2 คน บ้านของเราทำงานบริษัททั้งคู่ มีคุณตาคุณยาย และพี่เลี้ยงทำหน้าที่ดูแลลูกให้เวลาเรา 2 คนไปทำงาน ทุกครั้งที่ย้อนเวลากลับไปดูตัวเองสมัยก่อน เราเป็นครอบครัวที่อยากเรียกว่าเป็นพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพมากนัก เมื่อกลับมาจากที่ทำงาน แม้ตัวจะอยู่กับลูก 100% แต่ใจอาจจะอยู่แค่ 50% เท่านั้น เรานั่งอยู่กับลูกจริง แต่บางทีใจก็เราอยากทำอย่างอื่นมากกว่า เรามักจะมีเรื่องอื่น ๆ ให้สนใจมากกว่าลูกเสมอ เช่น งานที่ทำงาน งานที่ต้องทำเกี่ยวกับลูก ข้าวของเครื่องใช้ของเล่นที่ต้องเตรียมหาซื้อให้ลูก ดูทีวี หรือเล่นโทรศัพท์มือถือ และเมื่อเรามีเรื่องที่คิดว่าจำเป็นต้องทำมากกว่าเล่นกับลูก เราก็จะปล่อยให้ลูกเล่นกับของเล่นเอง โดยเราคอยมองเค้าห่าง ๆ ไม่ให้เกิดอันตรายเท่านั้น
จริง ๆ แล้ว…มันอาจจะเป็นปกติของทุกบ้านก็ได้นะ ในเมื่อเรามีภารกิจอะไรต้องทำมากมาย เราก็ต้องทำให้เสร็จ การเล่นกับลูก การใส่ใจลูกอย่างจริงจังย่อมเป็นเรื่องรอง นั่นเป็นเพราะเราไม่เคยตระหนักรู้เลยว่าภารกิจสำคัญที่สุดคือการใช้เวลาอยู่กับลูกแบบใจเต็มร้อย
ทุกวันนี้ เราแอบขอบคุณโชคชะตาของเราที่ลูกคนเล็กของเราไม่เหมือนเด็กปกติโดยทั่วไป เพราะมันทำให้เรา 2 คนต้องปรับตัวเอง ต้องแก้ไขตัวเองให้กลายเป็นพ่อแม่แบบมีคุณภาพได้อย่างที่ไม่เคยคิดว่าเราจะสามารถทำได้ และเมื่อเราแก้ไขตัวเองแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่าเกินบรรยาย ซึ่งไม่ได้หมายถึงพัฒนาการของลูกคนเล็กที่ดีขึ้นตามกาลเวลาเพียงอย่างเดียว แต่เราได้ลูกชายคนโตที่รักและสนิทกับพ่อแม่ รักและดูแลน้อง กลายเป็นเราได้ครอบครัวที่อบอุ่นอย่างมากมาด้วย
ปัจจุบัน ลูกคนเล็กของเราอายุ 10 ปีเต็มแล้ว เค้ามีความรัก มีปฏิสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับทุกคนในบ้าน เค้าสามารถขี่จักรยาน เล่นสกู๊ตเตอร์ เล่นเวฟบอร์ด เป็นเพื่อนเล่นกับพี่ชายเค้าได้ ทุกวันนี้ เราได้ยินเสียงเล่นกันของลูก ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงทะเลาะของลูกทั้ง 2 คนเหมือนครอบครัวอื่นทั่ว ๆ ไป ลูกคนเล็กของเราสามารถใช้ชีวิตในโรงเรียนได้เองไม่ต้องมีครูประกบ มีความสามารถโดดเด่นในหลายด้านทั้งด้านวิชาการและดนตรีจนได้รับการยอมรับจากครูและเพื่อน เล่นกับเพื่อนได้อย่างมีความสุข มักจะชอบเล่าเรื่องเพื่อนที่โรงเรียนให้ที่บ้านฟัง สิ่งเหล่านี้ดูธรรมดามากสำหรับเด็กปกติทั่วไป แต่สำหรับเด็กแบบลูกเรา การจะได้มาแต่ละอย่างที่พูดถึงไม่ง่ายเลย เรากลั้นน้ำตาแห่งความดีใจไม่ได้เลยซักครั้งที่เค้าทำได้ในแต่ละอย่าง และถึงแม้ว่าเค้ายังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่เรายังต้องคอยช่วยเหลือลูกบ้าง แต่เราไม่กลัวว่าลูกเราจะไม่มีที่ยืนในสังคมแล้ว เรามั่นใจว่าเราได้ผ่านจุดของความยากลำบาก ผ่านจุดวิกฤติของชีวิตลูกมาแล้ว…
เครดิตภาพ: Annie Spratt | Unsplash